PL

แหล่งรวบรวมข้อมูลของหุ้นต่างๆ All for one, one for all
(ข้อมูลตั้งแต่ก่อตั้งเว็บ จนถึง 30 กันยายน 2555 ห้องนี้อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถ post ได้)
purin

โพสต์ โดย purin » พุธ ม.ค. 07, 2004 3:06 am

หุ้นเงาตัวจริงเสียงจริง ไม่เคยมีโบรกไหนเคยเชียรเลยแต่กำไรเพิ่มทุกปี :wink:



purin

โพสต์ โดย purin » พุธ ม.ค. 07, 2004 3:16 am

ที่สหรัฐ ส่วนใหญ่บริษัทใช้วิธีเช่ารถ แทนที่จะซื้อเองครับ

สาเหตุที่ผมคิดว่า trend เมืองไทยก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะว่าการเช่ารถมีข้อดีหลายประการคือ

1. ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน สามารถนำเงินสดไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้
2. ค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่ายนำไปหักภาษีได้เต็มจำนวน
3. ไม่ต้องเสียทรัพยากรบุคคลในองค์กรในการดูแลรักษา นำรถไปซ่อม เพราะทาง PL จะบริการให้หมด แม้ในเรื่องการต่อภาษีหรือประกัน หากรถชนหรือเสียนานๆ ก็มีรถสำรองให้
4 ในตลาดทุนที่พัฒนาแล้วจะแข่งขันกันมากในแง่ roa roe ดังนั้น การที่บริษัทมีสินทรัพย์น้อยเท่าไหร่ roa ก็จะยิ่งสูง

ตอนนี้ตลาดรถเช่าองค์กรยังเล็กอยู่ครับ ผมจึงคิดว่าจะมีโอกาสโตได้อีกมาก และ PL ก็เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุด และมีประสบการณ์มานาน และเป็นที่ยอมรับครับ

ส่วนการประเมินการเติบโตนั้นมองจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่สูงถึง 26% ต่อปีโดยประมาณ ดังนั้น 15% ต่อปีจึงเป็นอัตราที่ค่อนข้าง conservative ครับ


ความเห็นของคุณ invisible hand



จิ๊ก

โพสต์ โดย จิ๊ก » ศุกร์ ม.ค. 30, 2004 10:47 am

เมื่อวานได้เข้าประชุมผู้ถือหุ้นของ PL สรุปสาระสำคัญแบบย่อๆดังนี้ค่ะ

* หุ้นกู้ที่จะออกเพิ่ม 5,000 ลบ.ไม่ได้ออกมาเพื่อจะขยายพอร์ทรถเช่า และไม่ได้มีว่าที่ลูกค้ารายใหญ่ขนาดหลายพันล้านแต่อย่างใด แต่ออกมาเพื่อ
1. ใช้หนี้คืนเงินกู้ระยะยาว ( หุ้นกู้ ) 1,300 ลบ.

2. ใช้หนี้คืนตั๋วแลกเงินระยะยาวอีกประมาณ 1,300 ลบ. ( สงสัยข้อนี้เหมือนกันเพราะว่าในงบการเงิน มีหนี้จากตั๋วแลกเงินระยะยาวอยู่ 781 ลบ.แต่อาจจะรวมเงินเบิกเกินบัญชีด้วยอีก 403 ลบ.)

3.เพื่อเป็นเงินสดหมุนเวียนในการบริหาร
4.สำรองสำหรับการขยายพอร์รถเช่าอีก 3 ปี ๆละ 900 ลบ.

จากการสัมภาษณ์ส่วนตัวกับกรรมการท่านหนึ่งได้ข้อมูลว่า

1.อัตราการเติบโตของยอดขายและกำไรน่าจะยังโตได้ประมาณ 20 % เป็นอย่างน้อย
2.คู่แข่งในตลาดนี้ยังมีน้อย คู่แข่งที่เห็นได้ชัดได้แก่ คาร์เร็นท์ ซึ่งให้เช่าในระยะเวลาสั้นๆ และน่าจะเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกับบริษัท

3.บริษัทครองความเป็นเจ้าตลาดอยู่ และมีพอร์ทรถให้เช่าประมาณ 5,000 คัน ทำให้มีการประหยัดจากขนาด คู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาจะเสียเปรียบในจุดนี้

พอดีพี่สาวทำงานอยู่ ปตท. บอกว่า ปตท.เองก็ใช้วิธีเช่ารถ ไม่ได้ซื้อรถเอง โดยมีการประมูลเลือกผู้ที่เสนอราคาต่ำสด ปัจจุบันทำสัญญาเช่ากับบริษัทซิตี้คอร์ป เป็นเวลา 3 ปีและจะขยายเวลาไปอีก 2 ปี

ปตท.เคยเป็นลูกค้าของ PL อยู่ช่วงหนึ่ง ได้ถามกรรมการของ PL ว่าทำไม ปตท.ถึงไม่ต่อสัญญา กรรมการตอบคลุมเครือจับใจความสำคัญไม่ได้ ( ไม่กล้าถามซ้ำ แหะแหะ )

ปล.พนักงานต้อนรับของ PL หน้าตาหน้ารักทั้งนั้นเลย บริการดีเยี่ยม ยิ้มแย้มแจ่มใส



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ พ.ค. 16, 2004 9:16 pm

ผมเคยพยายามประมาณการกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์จาก
รายการสินทรัพย์รอการขายในงบดุล
และพยายามประมาณรายได้ จากรายได้ขั้นต่ำในหมายเหตุงบการเงิน
เหมือนที่คุณลูกหมอตำแยกำลังทำน่ะครับ

แต่ทั้งสองประเด็นก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่นอนครับ ผมคิดว่าเราคงได้แค่ประมาณคร่าวๆ แบบที่คุณ Invisible Hand ว่าเอาไว้ละครับ :roll:



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อังคาร พ.ค. 18, 2004 8:41 pm

อ้อ.. ผมเห็นด้วยกับคุณ Guest ครับ ว่าเราประมาณกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์จากรายการสินทรัพย์รอการขายในงบดุล และประมาณรายได้ จากรายได้ขั้นต่ำในหมายเหตุงบการเงิน ได้ยากมาก

อย่างเช่นมีสินทรัพย์รอการขายของ Q4 2003 =90.4 ลบ แต่ขายในไตรมาสถัดมาได้ 39.8 ลบ.

มีสินทรัพย์รอการขายของ Q1 2004 =38.0 ลบ.กลับขายในไตรมาสถัดมาได้ถึง 29.6 ลบ. ดูแล้วก็คิดว่าเราเอาวิชาบัญญัติไตรยางค์มาใช้ไม่ได้เลย

ก็ได้แต่หวังว่าไตรมาสสุดท้ายนี้มีสินทรัพย์รอการขายของ Q2 2004 =49.8 ลบ. น่าจะขายได้มากกว่า29.6 ลบ. ทั้งที่จริงๆแล้วอาจจะได้กำไรน้อยกว่าก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพทรัพย์สิน และขึ้นอยู่กับแนวโน้มของราคารถยนต์ทั้งมือสองในอนาคต

ส่วนเรื่องประมาณการรายได้ขั้นต่ำจากสัญญาเช่าล่วงหน้า ก็เพียงแต่บอกได้คร่าวๆว่าอนาคตมีคนมาทำสัญญาไว้แล้วเท่าไหร่เท่านั้นเอง เขาอาจจะบอกเลิกสัญญาเมื่อไหร่ก็ได้



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ มิ.ย. 27, 2004 6:08 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

NAME	งบปี	สินทรัพย์	หนี้สิน	ผู้ถือหุ้น	ทุน	รายได้	กำไรก่อน	กำไรสุทธิ	ROA(%)	ROE(%)	PM(%)	หนี้/ผู้ถือหุ้น
PL	2004	3,920.45	2,995.10	925.36	300.00	350.52	105.77	63.87	9.14	23.06	18.22	3.24
PL	2003	3,637.95	2,754.98	882.98	300.00	1,086.68	302.45	155.02	10.13	18.55	14.27	3.12
PL	2002	2,332.65	1,544.70	787.96	300.00	886.06	240.37	115.66	11.09	15.37	13.05	1.96
PL	2001	2,001.29	1,284.00	717.29	300.00	748.45	215.26	91.43	11.60	13.32	12.22	1.79
PL	2000	1,710.67	1,054.80	655.87	300.00	667.86	166.92	62.98	9.92	9.91	9.43	1.61
PL	1999	1,653.25	1,037.87	615.39	300.00	749.89	184.52	48.20	9.84	8.15	6.43	1.69
PL	1998	2,095.27	1,528.08	567.19	300.00	971.02	92.94	-169.89	3.68	-26.05	-17.50	2.69
PL	1997	2,961.63	2,224.56	737.08	300.00	990.95	295.71	30.41	9.41	4.13	3.07	3.02
PL	1996	3,321.31	2,584.64	736.67	300.00	822.43	330.49	79.44	9.95	10.78	9.66	3.51


NAME	งบปี	EPS	ปันผล	epsQ4	epsQ3	epsQ2	epsQ1	PAR	ราคา	P/E	P/BV	D/P%
PL	2004	6.95	????	????	????	????	2.03	10	48.00	6.91	1.56	7.70
PL	2003	5.17	2.75	1.38	1.4	1.14	1.25	10	51.5	9.96	1.75	5.34
PL	2002	3.86	2.00	0.89	1.02	1.07	0.88	10	28	7.25	1.07	7.14
PL	2001	3.05	1.50	0.85	0.63	0.81	0.76	10	20.5	6.72	0.86	7.32
PL	2000	2.10	1.00	0.49	0.5	0.58	0.53	10	17	8.10	0.78	5.88
PL	1999	1.61	0.75	0.61	0.42	0.33	0.25	10	28	17.39	1.36	2.68
PL	1998	-5.66	0.00	-3.54	0.16	0.04	-2.32	10	7.5	-1.33	0.40	0.00
PL	1997	1.01	0.00	-0.56	0.39	0.63	0.55	10	4	3.96	0.16	0.00
PL	1996	3.18	1.00	0.12	1.41	1.04	0.61	10	16	5.03	0.65	6.25



wpong not log in

โพสต์ โดย wpong not log in » พุธ ก.ค. 07, 2004 7:58 am

ในกระทู้ cpi ได้มีการพูดถึง PL อยากขอความกรุณาทุกท่านช่วยชี้แจงด้วยครับ
ส่วนตัวผมขอขอบคุณพี่ๆที่นำข้อมูลมา Post ทำให้ผมได้หูตาสว่างครับ :lol: [/img]



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » พฤหัสฯ. ก.ค. 08, 2004 12:18 pm

อันที่จริงบางคำถามก็มีคำตอบด้านบนอยู่แล้วครับ
พี่ลูกอีสานเขามีคำถามในกระทู http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... php?t=5258
ดังนี้
_ลูกอีสาน



Joined: 13 Oct 2003
Posts: 660

Posted: Tue Jul 06, 2004 9:39 pm Post subject:

--------------------------------------------------------------------------------

ผมก็สนใจ PL เช่นกันครับ เพราะกำไรปีนี้ค่อนข้างเพิ่มแบบโดดเด่นครับ แต่ยังมีหลายประเด็นที่ผมยังไม่สบายใจเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้..

- บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือเปล่า ในธุรกิจลีสซิ่งนี้ (operation lease) ต้นทุนทางการเงินน่าจะมีผลมากที่สุด คู่แข่งที่สำคัญที่สุดคือบริษัทโอริค ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านนี้ของญี่ปุ่น ได้ข่าวว่าดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศนี้เป็น 0 % ดังนั้นต้นทุนทางการเงินของบริษัทนี้ น่าจะต่ำมากๆ ผมกังวลใจว่า PL จะสู้ได้หรือเปล่า ส่วนบริษัทคู่แข่งที่เป็นคนไทย ซึ่งก็มีอยู่มาก ผมไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ครับ

- ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรมากน้อยอย่างไรหรือเปล่าครับ

- กำไรจากการขายรถมือสอง ซึ่งมีสัดส่วนค่อนข้างมากในงบกำไรขาดทุน กำไรนี้จะผันผวนไปตามภาวะเศรษกิจมากหรือเปล่า เพราะหากเศรษกิจไม่ดี รถยนต์มือสองราคาน่าจะลดลงพอสมควร

คุณ wpong และเพื่อนๆที่ถือ PL มีความเห็นอย่างไรบ้างครับ หรือผมคิดมากไป
_________________
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » อังคาร ก.ค. 20, 2004 12:14 pm

ลิงค์มีประโยชน์ สำหรับคนที่ต้องการความเข้าใจในธุรกิจประเภทนี้
http://tuecom.velocall.com/cgi-bin/tuec ... ory_id=211
ผมพยายามค้นดูวิธีการตัดค่าเสื่อมราคาของ pl แต่ไม่พบครับ



thaiinvestor

pl

โพสต์ โดย thaiinvestor » อาทิตย์ ก.ค. 25, 2004 3:04 pm

:D eps. new high ยังไงราคาหุ้นก็ต้อง new high ผมคิดว่าด้วย asset ที่เพิ่มอีกในช่วงครึ่งปีหลังอีก 1000 ล้านบาทก็แปลว่าต้องเซ็นสัญญากันบ้างแล้วถึงรู้ว่าจะเพิ่มประมาณเท่าไหร่ ก็อนุมานได้ว่ามีลูกค้าแน่นอนแล้ว คิดว่าปีนี้น่าจะมี eps 9.50 บาท div 4.75-5.00 บาทต่อหุ้น จาก asset ที่มีอยู่และการเติบโตของเศรษฐกิจพร้อมทั้งรูปแบบการบริการที่เริ่มมีลูกค้าเข้าใจในการให้บริการของบริษัทมากขึ้น(ด้วยเวลาเศรษฐกิจโตจะมีการขยายการลงทุนกันมากขึ้นเช่นการขยายกำลังการผลิต ดังนั้นการเช่าจะเป็นวิธีการที่ทำให้หนี้สินไม่สูงมาก d/e ต่ำจะได้ไปขยายกำลังการผลิตอย่างเด็มที่่โดยสถาบันการเงินก็ยินดีให้กู้เพราะ d/e ไม่สูงมาก) ดังนั้นด้วยศักยภาพของบริษัทและพันธมิตรน่าจะขยายสินทรัพย์ได้ต่อเนื่องซึ่งจะทำให้ eps.ในปี่หน้าน่าจะไต่สู่ระดับ 14-16 บาทต่อหุ้นได้ เพราะรายได้ของบริษัทมาจากข้างหน้า(สินทรัพย์ให้เช่าที่มีการเซ็นสัญญา) และรายได้มาจากข้างหลัง(สินทรัพย์รอการขายหลังจากหมดสัญญาเช่า) ซึ่งรายได้มาจากข้างหน้าก็เติบโตจากการขยายเศรษฐกิจ และรายได้จากข้างหลัง ซึ่งมองย้อนกลับไป 3-4 ปีที่แล้วมี asset 700-800 ล้านบาทยังส่งผลกำไรในปีนี้ขนาดนี้ ซึ่งปีหน้ามองย้อนกลับ 2-3 ปี asset ก็อยู่ที่ 1500-2500 ล้านบาท ซึ่่งก็น่าจะแสดงกำไรได้มากกว่าปี่ที่แล้วแน่นอน ซึ่ง eps. 14-16 บาท ในปี่หน้าผมว่าก็น่าจะอยู่ในพิสัยที่ทำได้ของบริษัท



PAL

โพสต์ โดย PAL » เสาร์ ส.ค. 07, 2004 7:26 am

ภัทรลิสซิ่งรุกซื้อรถเพิ่ม 800 คัน รองรับงานใหญ่เซ็นลูกค้า 4 กลุ่ม

ภัทรลิสซิ่งเดินหน้าเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่ประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์ นอกเหนือจากสถาบันการเงินลูกค้าเดิม หลังผู้เล่นในตลาดมีมากขึ้นฉุดมาร์เก็ตแชร์บริษัท เล็งซื้อรถยนต์กว่า 800 คัน รองรับการขยายธุรกิจ เผย "โลตัส-จอห์นสัน-ปูนใหญ่-ออมสิน" เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ที่จะมีการเซ็นสัญญาเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันอาจพิจารณาปรับราคาค่าเช่าลง หลังรัฐปรับลดโครงสร้างภาษีรถยนต์

แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทภัทรลิสซิ่ง เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น จากปัจจุบันลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทจะเป็นกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากในช่วงนี้ ผู้ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกันมีมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการขนาดกลางที่มีอยู่ก็พยายามที่จะเพิ่มฐานลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัท ทำให้บริษัทต้องเข้าไปขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอื่นมากขึ้น

"เรายังคงเจาะฐานลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เราถนัด และเชื่อว่า ยังไม่มีคู่แข่งมาก แต่อาจจะขยายกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าประเภทสถาบันการเงินเราก็ยังไม่ทิ้ง ในทางกลับกันเราจะได้ประโยชน์จากการที่สถาบันการเงินหันมาเน้นเรื่อง Good Governance ซึ่งส่งผลให้สถาบันการเงินที่มีบริษัทเช่าซื้อรถของตัวเอง หันไปใช้บริการของบริษัทอื่นมากขึ้น"

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์รายใหญ่ประมาณ 6 ราย ได้แก่ ภัทรลิสซิ่ง, โอลิค ออโตลิสต์, พรีเมียร์ ออโตเซล, ซิตี้ คอร์ป, บางกอกซากูระ ลิสซิ่ง และกรุงไทย คาร์เรนท์ โดยในส่วนของกรุงไทย คาร์เรนท์ จะทำธุรกิจให้เช่ารถยนต์ระยะสั้น แต่ช่วงหลังจะให้เช่ารถยนต์ระยะเวลายาวขึ้น และมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

แหล่งข่าวกล่าวว่า ลูกค้าของภัทรลิสซิ่งมี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือลูกค้ารายใหญ่ มีมูลค่าเช่าซื้อตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มสองลูกค้ารายกลางมีมูลค่าเช่าซื้อระหว่าง 5-20 ล้านบาท และกลุ่มสามคือลูกค้ารายเล็กมีมูลค่าต่ำกว่า 5 ล้านบาทลงไป ทั้งนี้ ลูกค้ารายใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสัดส่วนมากที่สุด รองลงมาคือลูกค้ารายกลางและรายเล็ก ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าประมาณ 500 ราย มีสินทรัพย์สำหรับการเช่า ณ สิ้นมีนาคม 2547 จำนวน 3,300 ล้านบาท ขณะที่สินทรัพย์รวมของบริษัทอยู่ที่ 3,900 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าและรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 20%

ผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้ประมาณ 600-700 ล้านบาท คาดว่าจะมีรายได้มากกว่าปีก่อนหน้า ซึ่งบริษัทมีรายได้ 1 พันล้านบาท ส่วนผลกำไรในปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อน ที่มีกำไร 155 ล้านบาท เนื่องจากเพียง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทสามารถมีผลกำไรแล้ว 125 ล้านบาท

สำหรับลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์กลุ่มใหม่ มีทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาและตกลงเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ บริษัทเทสโก้ โลตัส, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, ปูนซิเมนต์ไทย และธนาคารออมสิน โดยในส่วนของเทสโก้ โลตัส ตกลงที่จะเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัทประมาณ 245 คัน เป็นรถสำหรับผู้บริหารประมาณ 90 คัน บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ระหว่างเจรจาเช่าซื้อรถยนต์จำนวน 80 คัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งจะเช่าซื้อรถยนต์ระดับกลางหรือรถปิกอัพ โดยอยู่ระหว่างการเจรจา ส่วนธนาคารออมสินตกลงในเบื้องต้นที่จะเช่าซื้อรถยนต์ผู้บริหารจำนวน 10 คัน ซึ่งต้องรอให้ผู้บริหารของธนาคารเซ็นอนุมัติก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญา

"กลุ่มลูกค้ารายใหม่ทยอยเข้ามาใช้บริการของเรามากขึ้น เพราะเรามีบริการที่ดี และเราก็ยืดหยุ่นเงื่อนไขในการให้บริการมากขึ้น ทั้งนี้ การที่บริษัทมีลูกค้ารายใหม่ทยอยเข้ามาทำให้บริษัทต้องซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น คาดว่าในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 800-1,000 คัน" แหล่งข่าว กล่าว

ด้านนายนฤพล วัฒนคุณ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพย์สิน บริษัทภัทรลิสซิ่ง กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลประกาศโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ทำให้รถยนต์บางรุ่นมีภาระภาษีถูกลง ดังนั้น ลูกค้าของบริษัทก็จะได้รับประโยชน์ดังกล่าวด้วย เนื่องจากราคารถยนต์ที่บริษัทซื้อมาก็จะถูกลง ทำให้สามารถลดราคาให้กับลูกค้าได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปจากบริษัทรถยนต์ว่าจะมีการปรับลดราคาลงจำนวนเท่าใด คาดว่าจะลดราคาเฉลี่ยประมาณ 5% ของราคาขาย

"เราได้คุยกับดีลเลอร์รถยนต์ไปบ้างแล้วหากภาษีปรับลดลงราคาขายรถยนต์ก็จะต้องถูกลงด้วย เพราะฉะนั้นลูกค้าที่จะเช่าซื้อรถในช่วงนี้ เราก็บอกให้รอก่อนเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลง" นายนฤพล กล่าว

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า บริษัทมีแผนที่จะระดมทุนมากกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและนำไปรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอนสิ้นปีนี้จำนวน 400 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นกู้ โดยขณะนี้บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด



thaiinvestor

โพสต์ โดย thaiinvestor » เสาร์ ส.ค. 07, 2004 9:19 pm

จากข่าวหนังสือพิิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 7 ส.ค. 47

บริษัทมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งจะไม่เพิ่มทุนตามที่มีความกังวล ซึ่งจะใช้การออกหุ้นกู้แทน ผมจึงคิดว่าปีนี้และปีหน้าจะดีได้ต่อเนื่อง ซึ่งในที่สุดราคาจะสนองต่อ eps.ที่ทำได้ในที่สุด เป็นหุ้นตัวหนึ่งที่ผมสนใจลงทุนอย่างสบายใจโดยไม่สนใจปัจจัยร้าย ๆ ที่เข้ามา เพราะถ้าบริษัทมี่รายได้เพิ่ม (ขยายฐานลูกค้าได้) ต้นทุนลด (การรีไฟแนนซ์หุ้นกู้ซึ่งจะหมดอายุโดยไม่เสียค่าปรับ) กำไรสุทธิเพิ่ม กำไรต่อหุ้นเพิ่ม (ไม่มีการเพิ่มทุน roe สูงขึ้น) การถือครองหุ้นตัวนี้จะลงทุนได้สบายใจ แม้ในระยะสั้นหุ้นจะลงตามกระแสแต่ในที่สุดราคาจะสร้าง new high all time ไปได้เรื่อย ๆใน 2-4 ปีจากนี้ไป



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » พฤหัสฯ. ส.ค. 12, 2004 3:46 pm

มีการพูดคุยเรื่อง PL ในกระทุ้นี้ครับ
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... hp?p=45631

ถ้ายึดตามผลวิจัยของคุณพิภพผมว่าต่อไปธุรกิจนี้น่าจะเป็น Cost Competitive และมีการเติบโตของกลุ่มธุรกิจอย่างรวดเร็วนะครับ

:lol: :lol: :lol:

ลองคิดดูเล่นๆ ถ้ามีรถเพิ่มอีก 800 คันในไตรมาสสี่เนี่ย จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเท่าไหร่หนอ :roll: :roll: :roll:

พี่สามัญชนครับ เรื่องทรัพย์สินรอการขายผมก็คิดคล้ายๆพี่แหละครับ เพียงแต่หากทำย้อนไปอีกไตรมาสมันจะติดลบเมื่อหักมูลค่าที่ดินออก ผมเลยรองบประจำปีออกเพื่อดูรายละเอียดอีกที จุดนี้ไม่ได้สำคัญมากเพียงแต่ผมลองคิดเล่นสนุกๆหนะครับ



รินรดา

โพสต์ โดย รินรดา » พฤหัสฯ. ส.ค. 12, 2004 9:57 pm

ไม่เข้าใจที่พี่สามัญชนบอกว่า
งบปี ปี2546 ( สิ้น กย.46 )มีสินทรัพย์รอการขาย 3 รายการ เป็นอาคารสำนักงาน 6.93 ลบ. ที่ดิน 40.67 ลบ. และยานพาหนะ โดยมียอดรวมทั้งหมด 90.42 ลบ.

งบไตรมาส 1 ปี2547 ( สิ้น ธค.46 ) มียอดรวมสินทรัพย์รอการขาย 38.0 ลบ. ( งบไตรมาสไม่มีการแจกแจงรายละเอียดว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ) ก็เลยเดาเอาว่าบริษัทได้ขายที่ดินไปแล้วและน่าจะเหลือเฉพาะอาคารสำนักงานและยานพาหนะ ( ถ้าบริษัทไม่ได้ขายที่ดินในลักษณะแบ่งขาย )
ทำไมถึงเดาว่าบริษัทได้ขายที่ดินไปแล้วคะ พี่ท่านใดพอจะช่วยอธิบายได้ใหมคะ



รินรดา

โพสต์ โดย รินรดา » อาทิตย์ ส.ค. 15, 2004 10:22 am

ขอบคุณพี่ลูกอีสานมากค่ะ ขอถามอีกเรื่องนะคะ

เรื่องประมาณการกำไรค่ะ ถ้าบริษัทได้ยอดเช่ารถอีก 800 คันจะได้กำไรเท่าไหร่คะ เห็นพี่สามัญชนบอกว่าจะได้ 15 ลบ/ไตรมาส พี่ WPONG บอกว่าได้ 20% ต่อปี ( แปลว่าได้ 5%ต่อไตรมาส คูณ 800 ก็ได้ 40 ลบ./ไตรมาส ) ห่างกันตั้งเยอะเลยค่ะ

แล้วยังพี่ thaiinvestor ประมาณการกำไร ปีหน้าอยู่ที่ 14 - 16 บาทต่อหุ้น
พี่ๆคิดกันยังไงคะพอจะแสดงที่มาที่ไปได้ใหมคะ

วิธีการคิดก็สำคัญนะคะ ถึงคำตอบออกมาถูกแต่วิธีคิดผิด หนูให้คะแนนแค่ 5 เต็มสิบเท่านั้นแหละค่ะ แต่ถ้าวิธีคิดถูกถึงผลลัพธ์จะผิด หนูจะให้ 8 เต็มสิบเลยหละ



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » อาทิตย์ ส.ค. 15, 2004 3:35 pm

คุณรินลดาครับ 800 คันไม่ได้หมายความว่าคันละล้าน นะครับ ดังนั้นผมไม่ได้หมายถึง 40 ล้านบาทต่อไตรมาสครับ
แล้ว 20% ผมหมายถึงกำไรสุทธิต่อรายได้จาก Operating Lease ครับ ผมเพียงอยากเปรียบเทียบระหว่างการที่ลูกค้าซื้อรถเอง และ กำไรของPL กับผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้น ว่าธุรกิจนี้เป็น Win Win Situation ซึ่งทำให้ธุรกิจขยายตัวได้เร็วครับ
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops: :oops:
ผมเองยังไม่ได้ลองคิดว่ามันจะเท่าไรครับ เพียงแต่อ่านเจอในหนังสือการเงินการธนาคารฉบับล่าสุดว่ากำไรปีนี้ น่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้วครับ
พอดียืนอ่าน ไม่ได้ซื้อหนังสือมาไม่งั้นจะบอกให้ว่าอยู่หน้าเท่าไรครับ ยังไงก็ขอให้ตรวจสอบข้อมูลเองด้วยนะครับ
:P :P :P :P :P :P
พี่ลูกอีสานนี่เขามีน้ำใจเสมอเลยนะครับ

ทุกอย่างที่เราพูดกันล้วนพูดกันบนสมมติฐานที่เราตั้งขึ้นจากข้อมูลที่มีอยู่ครับ จึงอาจแตกต่างกันตามมุมมอง และข้อมูลของแต่ละคนครับ
8) 8) 8) 8) 8)



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » อังคาร ส.ค. 17, 2004 10:01 am

จากงบที่ออกมา ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นโอกาสสำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งนะครับ

มันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นคนกลุ่มใหนครับ
:oops: :oops: :oops: :oops:
ผมขอแสดงตัวเลข กำไรจากกิจกรรมดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ ตั้งแต่ไตรมาสปัจจุบัน ย้อนหลังไปอีก 5 ไตรมาสนะครับ (พันบาท)(จากงบกระแสเงินสดนะครับ)
225,186
222,665
204,006
187,319
148,317


ผมเองไม่อยากชี้นำมากครับ หวังเพียงแต่ว่าเพื่อนๆจะได้พยายามทำความเข้าใจวิธีการลงทุน และมีความสุขจากการลงทุนครับ

ยังไงก็ตามลองตรวจสอบตัวเลข และความสัมพันธ์ของข้อมูลเองอีกครั้งหนึ่งนะครับ เผื่อผมคำนวน หรือเข้าใจผิด
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops:
สินทรัพย์ที่คิดค่าเสื่อมราคาสูงในเบื้องต้น จะมีกำไรน้อยในช่วงแรก แต่จะไปมีกำไรมากในการขายสินทรัพย์ในช่วงท้าย หรือการตัดจ่ายมากๆบางไตรมาสก็มีผลได้นะครับ
:roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
ปล. ผมอยากให้เพื่อนอย่าไปยึดติดว่าเราเป็นเจ้าของหุ้นตัวใหนแล้วดูหุ้นตัวนั้นตัวเดียว ลองวิเคราะห์ตัวอื่นด้วย เผื่อจะเจอตัวที่ดีกว่ามากๆ หรือวิเคราะห์แล้วพบว่าตัวที่เราถือเนี่ยดีจริงๆ



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » อังคาร ส.ค. 17, 2004 4:30 pm

เพื่อนๆครับ ผมได้ลองทำอัตราส่วน
ต้นทุนทางตรงจากการให้เช่า /ค่าเช่ารับจากสัญญาเช่าดำเนินงาน จากไตรมาสปัจจุบันย้อนหลังไป 6 ไตรมาส ผมคิดว่าเราน่าจะมาดูกันว่า ต้นทุนทางตรงจากการให้เช่าที่เพิ่มขึ้นมาในไตรมาสล่าสุดนี้จะเป็นเรื่องชั่วคราว หรือถาวรครับผมเองก็ดูไม่ออกเหมือนกันครับ
73.29% 70.06% 69.41% 70.02% 68.79% 68.29%

:roll: :roll: :roll: :roll: :roll:
ประเด็นที่ผมเขียนในกระทู้ก่อนหน้านี้เรื่อง กำไรจากกิจกรรมดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ นั้นมาคิดดูอีกทีก็ไม่น่าสนใจเท่าไรเพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าสินทรัพย์ให้เช่างวดใหม่เนี่ยเค้าตั้งค่าซากต่ำลงหรือไม่มันพิสูจน์ยาก
:wink:



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » พุธ ส.ค. 18, 2004 4:59 pm

ผมเพิ่งพบว่าตัวเองคำนวนงบกระแสเงินสดผิดพลาดในบางจุด จึงขอแก้ไขครับ

wpong not login เขียน: ผมขอแสดงตัวเลข กำไรจากกิจกรรมดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์ ตั้งแต่ไตรมาสปัจจุบัน ย้อนหลังไปอีก 5 ไตรมาสนะครับ (พันบาท)(จากงบกระแสเงินสดนะครับ)
225,186
222,665
204,006
187,319
148,317
ขอแก้เป็นย้อนหลัง 6 ไตรมาสดังนี้
225,186 222,665 204,006 198,244 187,319 148,317
:oops: :oops: :oops: :oops: :oops:

และขอแก้ไขที่เคยแจ้งว่าค่า Gross Profit Margin ดีขึ้นเรื่อยๆ ในกระทู้ Uncommon Profit Uncommon Stock เป็นยังไม่แน่ใจครับ
:roll: :roll: :roll: :roll:

หากทำให้เกิดความเสียหายอย่างไรขออภัยด้วยครับ
อย่างไรก็ตามการตรวจสอบข้อมูล และลงทุน เป็นความรับผิดชอบของตัวท่านเองนะครับ



สุภาวดี

โพสต์ โดย สุภาวดี » พุธ ก.ย. 01, 2004 10:52 am

พี่สามัญชนคะ PL มี ROE สูงก็จริง แต่ ROA ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่เพราะหนี้เยอะ พี่คิดยังไงคะ

แล้วค่า ROTC กับ RONOA อีกล่ะคะ ไม่นำมาคิดหรือคะ



สุภาวดี

โพสต์ โดย สุภาวดี » พฤหัสฯ. ก.ย. 02, 2004 10:25 am

ขอบคุณพี่สามัญชนค่ะ

เป็นอันว่า PL ไม่จำเป็นต้องได้ ROA สูงๆเกิน 15 % แต่ก็ไม่ควรจะต่ำถึง 1 % เหมือนธนาคารใช่ใหมคะ เพราะธนาคารได้เปรียบในแง่การระดมทุน เขาเสียดอกเบี้ยเงินฝากแค่หนึ่งเปอร์เซนต์กว่าๆ PLได้ ROA สัก 4 - 5 % จะพอยอมรับได้ใหมคะ

หนูคิดว่าการทำ SECURITIZATION ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะดอกเบี้ยน่าจะสูงถึง 4 -5 % เทียบกับการออกหุ้นกู้ที่ PLเสียดอกเบี้ยแค่ 2.65 % เว้นเสียแต่ติดเงื่อนไข D/E ก็เป็นเรื่องจำเป็น

การทำ SECURITIZATION นั้นไม่ต้องบันทึกเป็นหนี้สิน อาจจะทำให้ ROA สูงขึ้นก็จริง แต่ยังไงมันก็คือหนี้ที่เราจะต้องจ่ายอยู่ดี แถมจ่ายดอกเบี้ยแพงกว่าอีก หนูชอบ ROA ต่ำหน่อย แต่เสียดอกเบี้ยน้อยกว่าค่ะ



สุภาวดี

โพสต์ โดย สุภาวดี » พฤหัสฯ. ก.ย. 02, 2004 11:43 am

ไม่เข้าใจค่ะ

SCAN ทำ securitized ได้อันดับ "A-(tha)" ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เท่ากับบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย

หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2.5 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.00% ต่อปี จำนวน 650 ล้านบาท หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.80% ต่อปี จำนวน 150 ล้านบาท

แต่หุ้นกู้ PL ได้อันดับ BBB+ แต่เสียดอกเบี้ยแค่ 2.65 %

จะอธิบายยังไงคะ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ ก.ย. 03, 2004 2:01 am

ดีใจครับ ที่ช่วยกันคิด วิเคราะห์ ติเตียน เพื่อประโยชน์ของพวกเราในฐานะรายย่อย สมดังเจตนารมภ์ของผู้ก่อตั้ง WEB นี้ ซึ่งได้แก่ คุณ Jeng คุณCK คุณgenie คุณMon money ( ขอชื่นชมมากๆ )


เรื่อง ROA ก็ถูกทุกท่านที่ให้ความเห็นมา ว่ามันไม่ใข่ all or none ( Quality analysis ) ว่าเราจะนำมาวิเคราะห์หรือไม่นำมาวิเคราะห์ แต่มันเป็น Quantity analysis ว่าวิเคราะห์แล้วได้ค่าเท่าไหร่ถึงจะยอมรับได้


ผมผิดเองที่พูดว่าไม่ควรนำมาวิเคราะห์ จริงๆแล้วก็ควรจะนำมาวิเคราะห์นั่นแหละครับ อะไรก็ตามที่แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่ถ้ามีความสำคัญต่อกิจการของบริษัทที่เราเป็นเจ้าของ เราก็ต้องให้ความสำคัญ

ผมเห็นด้วยกับที่คุณสุภาวดีบอกว่า PLได้ ROA สัก 4 - 5 % ก็น่าพอใจ แต่ถ้าทำ securitization แล้ว ROA สูงขึ้นก็เป็นที่น่ายินดี แต่เราก็ควรจะรู้ตัวเองว่า หุ้นของเราที่ได้ ROA สูงๆ มันยังมีหนี้ที่ไม่แสดงในงบดุลอยู่ เราอาจจะเผลอดีใจ ซึ่งจะทำให้เราประมาท แต่ผมก็เชื่อว่ามันคงจะแสดงในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ถ้าเราดูละเอียดพอก็คงไม่มีปัญหา ( ไม่รู้จริงหรือเปล่า เดี๋ยวรอพิสูจน์ที่งบการเงินของ SCAN )


ขอชื่นชมคุณนักดูดาวที่วิเคราะห์ตรงไปตรงมา ไม่เข้าข้างหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ แม้ว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อความไม่พอใจของผู้อื่น วิธีคิดแบบนี้คือวิธีที่เป็นอุเบกขา ในระยะยาวหรือแม้แต่ในระยะสั้น มันเป็นวิธีที่ทำให้เราเสียใจภายหลัง น้อยที่สุด



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » เสาร์ ก.ย. 04, 2004 8:41 am

พี่สามัญชนครับ ไปอ่านในกระทิงเขียวแล้วเป็นห่วงครับ :( :( :( :(
อย่าเครียดมากนะครับ
8) 8) 8)
ผมลองคำนวนอะไรให้ดูเล่นๆนะครับ
สมมติผมมีรถ 1 คันซื้อมา 1 ล้าน ให้เช่า 3 ปี คิดค่าเสื่อมปีละ 3 แสนบาท คิดค่าเช่าปีละ 4 แสนนะครับ
ปีแรกมีกำไร 4แสน - 3แสน = 1 แสน ต้นปีมีทรัพย์สิน 1 ล้าน ปลายปีมี 7 แสน ค่า Net income / Average Equity = 1/ (10+7)/2 = 1/8.5 = 11.76%
ปี2 มีกำไร 4แสน - 3แสน = 1 แสน ต้นปีมีทรัพย์สิน 7 แสน ปลายปีมี 4 แสน ค่า Net income / Average Equity = 1/(7+4)/2 = 18.18 %
ปีที่ 3 ลองคิดดูแล้วจะพบว่ามากกว่าปีที่ 2 อีกครับ กำไรเท่าดิมแต่ ROA สูงขึ้นจากการลดลงของ Asset
นี่ยังไม่นับกำไรจากการขายรถนะครับ

โดยสรุปแล้วตัวเลขทางการเงินต่างๆมักใช้อัตราส่วนเป็นเส้นตรงแต่ไม่แสดงเวลาดังนั้นหุ้นที่มีการลงทุน หรือเพิ่ม Working Cap จะมีงบการเงินดูแล้วสู้พวก วัวนม Cash Cow ไม่ได้ครับ จึงช่วยให้หุ้นบางตัวมีราคาถูกและทำให้เราได้กำไรเยอะๆครับ
:evil: :evil: :evil:
ผมไมได้หมายความว่า PL มีราคาถูกมากๆ นะครับ
ในความคิดเห็นผมแล้วเราไม่ควรใช้เวลาวิเคราะห์งบตัวหนึ่งนานเกินไป
ยิ่งละเอียดยิ่งมีประโยชน์น้อย เอาเวลาไปดูบริษัทอื่นบ้างดีกว่าครับ
:P :P :P
ไม่มีบริษัทใหนดีที่สุดในทุกสถานการณ์หรอกครับ

เป็นห่วงครับ แต่ถ้าขายไปบ้าง แล้วจะสบายใจขึ้น ก็แนะนำให้ขายครับ เพราะถ้าสบายใจขึ้น จะทำให้มีสมาธิมากขึ้น :D :D :D :D



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » เสาร์ ก.ย. 04, 2004 11:53 am

ผมพยายามจำกัดเวลาที่เข้า WEB ให้น้อยที่สุดครับ เลยไม่ค่อยได้ Post และอ่านเฉพาะบางหัวข้อครับ
TR ก็ดีครับค่าเสื่อมบ.แม่ต่ำทำให้ PE ดูต่ำ :oops: :oops: :oops:



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » อาทิตย์ ก.ย. 05, 2004 9:28 am

ยินดีมากครับที่ทราบว่าพี่ลูกอีสานถือหุ้นตัวนี้ด้วย งั้นเราเปลี่ยนเรื่องคุยมาเป็นเรื่องกลยุทธ์ในการจัดพอร์ทบ้างดีกว่า
ปัจจุบันผมถือ PL เป็นอันดับ 1 ของพอร์ทเช่นกันที่ประมาณ 50% อันที่จริงบ.นี้มีข้อดีเยอะโดยเฉพาะในระยะยาว บริษัทนี้สร้างกำไรให้เรา 1.5 - 2 บาทในทุกๆ 3 เดือน อย่างไรก็ตามใน 3 เดือนจากนี้มีปัจจัยเสี่ยงอยู่พอสมควร เช่นการชะลอการทำสัญญา ก่อนที่กฎเกณฑ์ภาษีสรรพสามิตจะออกจึงทำให้รายได้จากค่าเช่าอาจไม่เติบโตชั่วคราว หรืออาจมีการเผื่อการด้อยค่าของมูลค่าซาก
:oops: :twisted: :twisted: :twisted:
อีก 30% ไปร่วมทุนกับบริษัทที่ผลประกอบการณ์ที่ผ่านมาไม่ดีนัก มีคนสนใจน้อย แต่มีโอกาสเติบโตสูง
20% เป็นเงินสดใช้ซื้อหุ้นดีที่ราคาตก
:oops: :oops: :oops:
ผมคิดว่าการวางแผนที่ดีจะช่วยลดเวลา และความกังวลได้
8) 8) 8)
สำหรับ TR นั้นผมก็คิดว่าดี แต่เมื่อมี PL แล้วผมก็ไม่ต้องการ TR อีกเนื่องจากเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในลักษณะเดียวกัน
อันที่จริงผมซื้อตามพื้นฐาน แต่ตัวที่เป็น Turnaround คนชอบมาเก็งกำไร วันศุกร์ที่ผ่านมาก็ขึ้น Top Gain กับเขาด้วย

:twisted: :twisted: :twisted: :twisted:
ผมซื้อหุ้นตามพื้นฐาน กะถือยาว แต่ใหงหุ้นที่อยู่ในพอร์ทที่อายุมากที่สุด มีอายุแค่ 2 เดือนกว่าเอง :roll: :roll: :roll: :roll: :roll:



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ ก.ย. 05, 2004 11:10 am

พี่ลูกอีสานครับ

ครั้งหนึ่ง บัฟเฟตต์ได้พูดคุยกับนักเบสบอลฝีมือระดับโลกคนหนึ่ง เขาเล่าให้บัฟเฟตต์ฟังว่า เคล็ดลับของการตีลูกได้ดีอยู่ที่ว่า เขาจินตนาการว่าลูกที่ขว้างออกมาจะอยู่ในจุดไหนบ้าง เขาแบ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นตารางสี่เหลี่ยมแสดงขอบเขตพื้นที่ที่เป็นไปได้ทั้งหมดและแบ่งซอยย่อยเล็กลงอีกป็นช่องขนาดเท่าลูกเบสบอล เคล็ดลับก็คือ เขาจะตีเฉพาะลูกที่อยู่ในช่องที่เขาซ้อมแล้วซ้อมอีกจนมั่นใจว่าตีแล้วได้โฮมรันหรือเกือบๆจะโฮมรันเท่านั้น ลูกอื่นๆ ที่อยู่ในตารางหรือช่องที่เขาไม่มั่นใจเขาจะปล่อยผ่านเลยไป

บัฟเฟตต์ชอบความคิดนี้ และบอกว่านักลงทุนอยู่ในจุดที่ได้เปรียบกว่านักเบสบอลเพราะว่าเราสามารถปฏิเสธการซื้อหุ้นกี่ครั้งก็ได้โดยไม่ถูกไล่ออกจากตลาด ในขณะที่นักเบสบอลจะโดนออกถ้าไม่ตีลูกที่โยนมาดีแล้วแค่สามครั้ง

เหตุผลที่ผมลงทุนใน PL เป็นส่วนใหญ่ก็เลียนแบบจากแนวคิดนี้ของบัฟเฟตต์ครับ นั่นคือตีลูกที่คิดว่าตีได้ดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่าลูกอื่นๆไม่ดีนะครับ แต่หมายความว่าความสามารถของผมตีลูกอื่นๆได้ไม่ดีต่างหาก เช่นเดียวกันกับหุ้นตัวอื่นๆที่ดีอีกมากมาย แต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจธุรกิจนั้นๆผมก็จะยังไม่กล้าลงทุน อาจจะเรียกว่าเป็นขอบเขตการลงทุนของผม วันข้างหน้าถ้าผมมีความรู้มากขึ้นขอบเขตการลงทุนของผมก็อาจจะขยายวงมากขึ้น

พี่ลูกอีสานบอกว่าผมเป็นคนใจเด็ดผมก็รู้สึกดีใจครับและก็อยากเป็นคนใจเด็ดใจกล้าแต่เมื่อพิจารณาตัวเองแล้วก็พบว่าอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น ผมไม่กล้าเสี่ยงที่จะตีลูกในจุดที่ตนเองไม่ชำนาญเลยครับ อาจจะเรียกว่าใจเ_าะก็ได้ แต่อย่าเรียกเลยครับ เรียกว่า ค่อนข้างระมัดระวังก็แล้วกันครับ

นอกจาก PL และ TR ที่พี่ลูกอีสานมีอยู่และเป็นที่นิยมของชาว WEB นี้และ WEB กระทิงเขียวแล้วพี่มีตัวไหนอีกล่ะครับ พอจะบอกได้ไหม ผมจะได้ไปศึกษาพิจารณาเพิ่มเติมจะได้เพิ่มความรู้ขยายขอบเขตการลงทุน

ผมชอบแนวทางการเลือกหุ้นของพี่ลูกอีสานนะครับ ชอบมานานแล้วครับ อ้อ .อีกท่านหนึ่งก็คุณ Invisible hand ครับ ยังเคยคิดจะลาออกจากงานปัจจุบันไปขอทำงานกับคุณ Invisible hand เลยครับ



wpong not login

โพสต์ โดย wpong not login » อาทิตย์ ก.ย. 05, 2004 9:18 pm

ก่อนอื่นต้องขออภัยเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นที่ไม่ได้พูดในเรื่อง PL โดยตรงมากนักในกระทู้ของPL เอาเป็นว่าคุยกันตามประสาคนที่มีหุ้น PL เป็นหลัก และหาหุ้นอื่นช่วยกระจายความเสี่ยงนะครับ
:oops: :oops: :oops: :oops:
พี่ลูกอีสานครับ ผมติดตามการให้ความรู้ของพี่มาโดยตลอด เป็นประโยชน์มากครับ :P
พี่มีลางสังหรณ์อะไรเกี่ยวกับ TR หรือครับ เผื่อผมจะได้พึ่งใบบุญด้วยคน
แล้วหุ้นตัวใหนที่พี่มีมากสูสีกับ PL หละครับ
ถ้าไม่สะดวกไม่บอกก็ได้นะครับ ผมเข้าใจ

พี่สามัญชนครับ ผมมีหุ้น 3 ตัวคือ
PL เป็นหุ้นหลัก
HFT ไว้ช่วยถ้าเกิดเศรฐกิจประเทศเราไม่ดี ค่าเงินจะอ่อน ซึ่งทำให้ HFT กำไรดีขึ้นมากครับ
RCI ผมชอบการวางกลยุทธ์ของเขาครับ
:twisted: :twisted: :twisted: :twisted:
ผมเองเพิ่งเริ่มศึกษาเลยไม่ขอโม้มาก เดี๋ยวจะชวนกันลงเหวครับ



มึนจัง

โพสต์ โดย มึนจัง » อังคาร ก.ย. 07, 2004 11:31 am

ป๋า stockms ขา อย่าอมไว้เลยนะฮ้า รีบบอกเถอะฮ่า มันกระวนกระวายอ่ะ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พุธ ก.ย. 08, 2004 7:47 pm

มีข่าวเกี่ยวกับ PL ค่ะ
Symbol: PL
Headline: การขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ PL
Time: 8 ส.ค. 2004 18:45:00

การขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (PL)

ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย H หลักทรัพย์บริษัท ภัทรลิสซิ่งจำกัด
(มหาชน) "PL" เนื่องจากบริษัทจะทำการเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัทจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และ บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด มหาชน จะทำคำเสนอซื้อหุ้นไม่เกิน 25,520,762 หุ้น ในราคา 120.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาสูงสุดและต่ำสุดประจำวันไม่ครอบคลุมราคาดังกล่าว

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์จึงหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่เวลา 9.51 น. ของวันที่ 9 ส.ค. 2547 เพื่อขยายราคาสูงสุดและต่ำสุดประจำวันให้ครอบคลุมราคาเสนอซื้อดังกล่าว

เพื่อให้หลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถซื้อขายต่อไปได้ตามสภาพความเป็นจริง ตลาดหลักทรัพย์จึงอาศัย อำนาจตามความในข้อ 24 (6) แห่งข้อบังคับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องข้อกำหนด เกี่ยวกับการซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์จดทะเบียน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542 เปลี่ยนแปลงราคาสูงสุดและต่ำสุด (Ceiling and Floor) ของหลักทรัพย์ดังกล่าวบนกระดาน หลักในวันที่ 9 ส.ค. 2547 ให้หลักทรัพย์ PL มีราคาสูงสุดและต่ำสุดไม่เกินสองเท่าจากราคา ซื้อขายครั้งสุดท้ายบนกระดานหลักของหลักทรัพย์ดังกล่าว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์จึงปลดเครื่องหมาย H หลักทรัพย์ดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 11.15 น. ของวันที่ 9 ส.ค. 2547 เป็นต้นไป

ล้อเล่นนะคะ ข่าวนี้ไม่จริงหรอกค่ะ หนูเขียนขึ้นเอง



ตอบกลับโพส