CENTEL
"INTERNATIONAL FINANCE CORPORATION"ขายหุ้น CENTEL หมดพอร์ต 9.9%
Source - IQ Biz
Thursday, 30 March 2006 10:33
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับแบบรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา(CENTEL) โดย INTERNATIONAL FINANCE CORPORATION ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 29/03/2549 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -9.9% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 0.0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
Source - IQ Biz
Thursday, 30 March 2006 10:33
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับแบบรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา(CENTEL) โดย INTERNATIONAL FINANCE CORPORATION ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 29/03/2549 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -9.9% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 0.0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
CENTELดึงคาลส์เปอร์ถือ10% ลุ้นนิวไฮรับกำไรพิเศษ100ล.
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 31 March 2006 04:39
"คาลส์เปอร์" นักลงทุนอเมริกาซื้อหุ้น CENTEL ต่อจากกลุ่มเซ็นทรัลเกือบ 10% เล็งฮุบเก้าอี้บอร์ด 1 ตัวตั้งแต่ปลายเมษานี้ ดันรายได้สิ้นปีนี้ทะลุเป้า 6.9 พันล้าน ขณะที่สัญญาณเทคนิคดีรับข่าวบุ๊คกำไรพิเศษไตรมาสหน้าเฉียด 100 ล้านบาท มีลุ้นนิวไฮที่ 38 บาท หลังวานนี้ทำสถิติสูงสุดรอบกว่า 4 ปี
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า หรือ CENTEL ปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเติบโตไม่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ เพราะนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องดึงคาลส์เปอร์เป็นพันธมิตรใหม่ถือหุ้นเกือบ 10% เพื่อเสริมฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งแล้ว ยังเตรียมบันทึกกำไรจากการขายเรือโรงแรมลอยน้ำกว่า 90 ล้านบาทในไตรมาส 2/49 ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะสูงสุดที่ 38 บาท
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้น CENTEL โดย INTERNATIONAL FINANCE CORPORATIONหรือIFCซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2549 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น 9.9%ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
นายรณชิต มหัทะนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน CENTELกล่าวกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า IFC เข้ามาลงทุนถือหุ้น CENTEL กว่า 10 ปี เพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทให้ก้าวหน้า ซึ่งขณะนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว จึงทำตามเงื่อนไขที่ระบุว่าจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นใหญ่รับทราบการขายหุ้น เพื่อใช้สิทธิรับซื้อต่อเป็นรายแรก ปรากฎว่าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลสนใจลงทุน จึงรับซื้อในราคาหุ้นละ 36 บาท
จากนั้นไทยแลนด์ อิควิตี้ ฟันด์ เป็นกองทุนที่นิยมลงทุนบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยซึ่งถือหุ้นหลัก โดยคาลส์เปอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก และหน่วยงานไทยต่างๆ สนใจลงทุน จึงขอซื้อต่อจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในราคาหุ้นละ 36 บาท ซึ่งแม้ไม่ได้รับส่วนต่างกำไร แต่ทำให้ CENTEL ได้พันธมิตรทางธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง รวมทั้งเพื่อเสริมด้านวิเคราะห์และวางแผนดำเนินธุรกิจให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ไทยแลนด์ อิควิตี้ ฟันด์จะส่งตัวแทนเข้ามาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) 1 คน โดยเรื่องดังกล่าวจะบรรจุเข้าวาระการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน2549 พร้อมทั้งเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ หลังจากที่ประชุมบอร์ดได้อนุมัติให้เพิ่มจำนวนบอร์ดชุดใหม่เป็น 17 คนจากปัจจุบัน 16 คน และคาดว่าบอร์ดชุดใหม่จะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 25 เมษายนเป็นต้นไป
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค ปิดตลาดที่ 34.50 บาท จากนั้นวันที่ 28 มี.ค. ปิดตลาดที่ 35.25 บาทวันที่ 29 มี.ค. ปิดตลาดที่ 35 บาท และวานนี้ (30 มี.ค.) ปิดตลาดที่ 36.20 บาทปริมาณการซื้อขาย 77,700,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 2.735 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้านเทคนิค บล.แอ็ดคินซัน ประเมินว่า หุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีแรงซื้อเข้ามารับข่าวดีเรื่องบริษัทขายเรือโรงแรมลอยน้ำ ที่ประเทศติมอร์ตะวันออก ซึ่งปิดกิจการเนื่องจากรายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน2548 และเพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายเรือ พร้อมรับมัดจำ 10% ของราคาซื้อขายเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้คาดว่า CENTEL จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเรือดังกล่าวประมาณไตรมาส 2/49 เป็นจำนวน 90-100 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนเรือหลังหักค่าเสื่อมอยู่ที่กว่า 40 ล้านบาท ขณะที่สามารถขายเรือได้ประมาณ 3.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 150 ล้านบาท จากสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่ 39 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ ช่วงปลายไตรมาส 3/49 บริษัทน่าจะประกาศพันธมิตรใหม่มาร่วมดำเนินธุรกิจอาหาร ทำให้บริษัทมีแบรนด์อาหารเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีพิซซ่า ฮัท มิสเตอร์โดนัทบัสกิ้นรอบบิ้น เคเอฟซี แอนด์ตี้อานส์ ขณะที่สัญญาณเทคนิคยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยให้แนวต้านที่ 38 บาท และแนวรับที่ 34-35 บาท แนะนำซื้อเก็งกำไร หลังจากที่วานนี้ (30 มี.ค) ปรับตัวสูงสุดที่ 36.25 บาท ถือเป็นการทำสถิติใหม่ในรอบกว่า 4 ปี
Source - ข่าวหุ้น
Friday, 31 March 2006 04:39
"คาลส์เปอร์" นักลงทุนอเมริกาซื้อหุ้น CENTEL ต่อจากกลุ่มเซ็นทรัลเกือบ 10% เล็งฮุบเก้าอี้บอร์ด 1 ตัวตั้งแต่ปลายเมษานี้ ดันรายได้สิ้นปีนี้ทะลุเป้า 6.9 พันล้าน ขณะที่สัญญาณเทคนิคดีรับข่าวบุ๊คกำไรพิเศษไตรมาสหน้าเฉียด 100 ล้านบาท มีลุ้นนิวไฮที่ 38 บาท หลังวานนี้ทำสถิติสูงสุดรอบกว่า 4 ปี
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า หรือ CENTEL ปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเติบโตไม่ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ เพราะนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องดึงคาลส์เปอร์เป็นพันธมิตรใหม่ถือหุ้นเกือบ 10% เพื่อเสริมฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งแล้ว ยังเตรียมบันทึกกำไรจากการขายเรือโรงแรมลอยน้ำกว่า 90 ล้านบาทในไตรมาส 2/49 ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะสูงสุดที่ 38 บาท
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้น CENTEL โดย INTERNATIONAL FINANCE CORPORATIONหรือIFCซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2549 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น 9.9%ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น0% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
นายรณชิต มหัทะนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน CENTELกล่าวกับ "ข่าวหุ้นธุรกิจ" ว่า IFC เข้ามาลงทุนถือหุ้น CENTEL กว่า 10 ปี เพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทให้ก้าวหน้า ซึ่งขณะนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์แล้ว จึงทำตามเงื่อนไขที่ระบุว่าจะแจ้งให้ผู้ถือหุ้นใหญ่รับทราบการขายหุ้น เพื่อใช้สิทธิรับซื้อต่อเป็นรายแรก ปรากฎว่าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลสนใจลงทุน จึงรับซื้อในราคาหุ้นละ 36 บาท
จากนั้นไทยแลนด์ อิควิตี้ ฟันด์ เป็นกองทุนที่นิยมลงทุนบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยซึ่งถือหุ้นหลัก โดยคาลส์เปอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ธนาคารโลก และหน่วยงานไทยต่างๆ สนใจลงทุน จึงขอซื้อต่อจากห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลในราคาหุ้นละ 36 บาท ซึ่งแม้ไม่ได้รับส่วนต่างกำไร แต่ทำให้ CENTEL ได้พันธมิตรทางธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง รวมทั้งเพื่อเสริมด้านวิเคราะห์และวางแผนดำเนินธุรกิจให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ไทยแลนด์ อิควิตี้ ฟันด์จะส่งตัวแทนเข้ามาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) 1 คน โดยเรื่องดังกล่าวจะบรรจุเข้าวาระการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน2549 พร้อมทั้งเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ หลังจากที่ประชุมบอร์ดได้อนุมัติให้เพิ่มจำนวนบอร์ดชุดใหม่เป็น 17 คนจากปัจจุบัน 16 คน และคาดว่าบอร์ดชุดใหม่จะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 25 เมษายนเป็นต้นไป
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค ปิดตลาดที่ 34.50 บาท จากนั้นวันที่ 28 มี.ค. ปิดตลาดที่ 35.25 บาทวันที่ 29 มี.ค. ปิดตลาดที่ 35 บาท และวานนี้ (30 มี.ค.) ปิดตลาดที่ 36.20 บาทปริมาณการซื้อขาย 77,700,000 หุ้น มูลค่าการซื้อขาย 2.735 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้านเทคนิค บล.แอ็ดคินซัน ประเมินว่า หุ้น CENTEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะมีแรงซื้อเข้ามารับข่าวดีเรื่องบริษัทขายเรือโรงแรมลอยน้ำ ที่ประเทศติมอร์ตะวันออก ซึ่งปิดกิจการเนื่องจากรายได้ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน2548 และเพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายเรือ พร้อมรับมัดจำ 10% ของราคาซื้อขายเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้คาดว่า CENTEL จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเรือดังกล่าวประมาณไตรมาส 2/49 เป็นจำนวน 90-100 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนเรือหลังหักค่าเสื่อมอยู่ที่กว่า 40 ล้านบาท ขณะที่สามารถขายเรือได้ประมาณ 3.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 150 ล้านบาท จากสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่ 39 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ ช่วงปลายไตรมาส 3/49 บริษัทน่าจะประกาศพันธมิตรใหม่มาร่วมดำเนินธุรกิจอาหาร ทำให้บริษัทมีแบรนด์อาหารเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีพิซซ่า ฮัท มิสเตอร์โดนัทบัสกิ้นรอบบิ้น เคเอฟซี แอนด์ตี้อานส์ ขณะที่สัญญาณเทคนิคยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยให้แนวต้านที่ 38 บาท และแนวรับที่ 34-35 บาท แนะนำซื้อเก็งกำไร หลังจากที่วานนี้ (30 มี.ค) ปรับตัวสูงสุดที่ 36.25 บาท ถือเป็นการทำสถิติใหม่ในรอบกว่า 4 ปี
หลักทรัพย์ CENTEL
หัวข้อข่าว การลงทุนในบริษัทโรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
วันที่/เวลา 29 พ.ค. 2549 18:44:00
29 พฤษภาคม 2549
เรื่อง การลงทุนในบริษัท โรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงการลงทุนในบริษัท โรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
วันที่ทำรายการ : 25 พฤษภาคม 2549
สินทรัพย์ที่ลงทุน : หุ้นสามัญของบริษัทโรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
ลักษณะธุรกิจ : เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ต
ทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว : 120,000,000 บาท
(หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาท)
แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,200,000 หุ้น (หนึ่งล้านสองแสนหุ้น)
มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 100 บาท (หนึ่งร้อยบาท)
จำนวนหุ้นที่ลงทุน : 600,000 หุ้น
ราคาซื้อต่อหุ้น : 100 บาท
สัดส่วนการถือหุ้น : ร้อยละ 50
มูลค่าเงินลงทุนรวม : 60,000,000 บาท (หกสิบล้านบาทถ้วน)
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ชื่อ % การถือหุ้น
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา : 50%
บจ.โรงแรมภูเก็ต 3 โฮลดิ้ง : 50%
แหล่งที่มาของเงินทุนที่ใช้ : จากการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ผลประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทจะได้รับ : ขยายการลงทุนในธุรกิจ ผลตอบแทนในรูปค่าบริหาร
งานและเงินปันผล
รายการที่เกี่ยวโยงกันและการเข้าเงื่อนไขของการทำรายการ : ไม่เป็นรายการเกี่ยวโยง
การวัดขนาดรายการตามหลักเกณฑ์การได้มาหรือจำหน่ายไป : ขนาดรายการตามหลักเกณฑ์มูลค่าสินทรัพย์
เท่ากับร้อยละ 2.2 (มูลค่าสินทรัพย์ที่มี
ตัวตนสุทธิของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม
2549 เท่ากับ 2,724,746,000 บาท)
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์)
รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร
หัวข้อข่าว การลงทุนในบริษัทโรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
วันที่/เวลา 29 พ.ค. 2549 18:44:00
29 พฤษภาคม 2549
เรื่อง การลงทุนในบริษัท โรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงการลงทุนในบริษัท โรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
โดยมีรายละเอียด ดังนี้
วันที่ทำรายการ : 25 พฤษภาคม 2549
สินทรัพย์ที่ลงทุน : หุ้นสามัญของบริษัทโรงแรมกะตะภูเก็ต จำกัด
ลักษณะธุรกิจ : เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมที่จังหวัดภูเก็ต
ทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว : 120,000,000 บาท
(หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาท)
แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,200,000 หุ้น (หนึ่งล้านสองแสนหุ้น)
มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 100 บาท (หนึ่งร้อยบาท)
จำนวนหุ้นที่ลงทุน : 600,000 หุ้น
ราคาซื้อต่อหุ้น : 100 บาท
สัดส่วนการถือหุ้น : ร้อยละ 50
มูลค่าเงินลงทุนรวม : 60,000,000 บาท (หกสิบล้านบาทถ้วน)
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ชื่อ % การถือหุ้น
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา : 50%
บจ.โรงแรมภูเก็ต 3 โฮลดิ้ง : 50%
แหล่งที่มาของเงินทุนที่ใช้ : จากการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ผลประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทจะได้รับ : ขยายการลงทุนในธุรกิจ ผลตอบแทนในรูปค่าบริหาร
งานและเงินปันผล
รายการที่เกี่ยวโยงกันและการเข้าเงื่อนไขของการทำรายการ : ไม่เป็นรายการเกี่ยวโยง
การวัดขนาดรายการตามหลักเกณฑ์การได้มาหรือจำหน่ายไป : ขนาดรายการตามหลักเกณฑ์มูลค่าสินทรัพย์
เท่ากับร้อยละ 2.2 (มูลค่าสินทรัพย์ที่มี
ตัวตนสุทธิของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม
2549 เท่ากับ 2,724,746,000 บาท)
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์)
รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร
"มิสเตอร์โดนัท"เดินเครื่องโมเดลใหม่ ขยายฐานลูกค้า10%-ผุดหน่วยรถเสริม
มิสเตอร์ โดนัท รุกเต็มพิกัด โจทย์หลักเน้นสร้างฐานลูกค้า เดินหน้าผุดโมเดลต้นแบบ ก่อนรุกจริงปีหน้า ทั้งคาเทอริ่ง ดีลิเวอรี่ รถโมบายยูนิต มุ่งเจาะอีเวนต์ คอนเสิร์ต มั่นใจตลาดเปิดกว้าง พร้อมส่งเมนูใหม่ลงตลาดครึ่งปีหลัง หวังสร้างกระแสเหมือน พอนเดอริง มั่นใจปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% เผยซีอาร์จี เตรียมส่งแบรนด์ใหม่สู่ตลาดปลายปีนี้
นายสุชีพ ธรรมาชีพเจริญ ผู้จัดการทั่วไป "มิส เตอร์โดนัท" บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีนี้บริษัทจะรุกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ เนื่องจากปัจจุบันตลาดโดนัทยังเปิดกว้าง และมี โอกาสการเติบโตสูง โดยปีนี้มิสเตอร์ โดนัทตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
โดยขณะนี้บริษัทเตรียมทดลองโมเดลร้านในรูปแบบใหม่ๆ อาทิ รถโมบาย ยูนิต ที่มุ่งเจาะเข้าไปยังงานคอนเสิร์ตอีเวนต์ต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง หรือการเข้าไปยังโรงเรียน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวธุรกิจจัดเลี้ยงนอกสถานที่ (คาเทอริ่ง) ที่เน้นรับจัดงานตามหมู่บ้าน ฯลฯ อีกทั้งการกลับมาเน้นธุรกิจดีลิเวอรี่มากขึ้น จากที่ผ่านมายังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังมากนัก ทั้งนี้ ทุกรูปแบบจะมีการทดลองโมเดลต้นแบบในปีนี้ ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในปีหน้า
"เราจะเดินหน้าสร้างฐานลูกค้ามากขึ้น จะแอ็กเกรสซีฟมากขึ้น จากการเปิดโมเดลใหม่ๆ ปีนี้ ทำให้เรามีการปรับโครงสร้างของบริษัท มีการเพิ่มบุคลากรเข้ามา เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ๆ นอกจากนี้ จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ร้าน ปรับองค์กรให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต"
ปัจจุบันมิสเตอร์ โดนัท มีสาขาทั้งสิ้น 174 แห่ง ถือว่าบริษัทมีจุดแข็งเรื่องการขยายสาขา นอกจากการขยายในศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลแล้ว บริษัทถือว่ามีพันธมิตรที่ดีกับศูนย์การค้า และรีเทลต่างๆ โดยปัจจุบันรูปแบบสาขาของมิสเตอร์โดนัท ประกอบด้วยคีออสก์ ซึ่งใช้พื้นที่ขนาดเล็ก มีความคล่องตัวในการขยายสาขา นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบโอเพ่น คิทเช่น ซึ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ ที่มีครัวเปิดเพื่อโชว์ขั้นตอนการผลิต รวมถึงส่งสินค้าให้กับ คีออสก์ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
สุดท้ายเป็นรูปแบบ "ไมโคร คิทเช่น" ที่มีรูปแบบเหมือนโอเพ่น คิทเช่น แต่กำลังการผลิตน้อยกว่า โดยอนาคตบริษัทยังมีแผนเปิด "มินิ ไมโคร คิทเช่น" ซึ่งเป็นการย่อส่วนพื้นที่ เพื่อให้สามารถเจาะเข้าไปยังชุมชนหรืออำเภอต่างๆ ได้
"อนาคตเราจะยังมีโมเดลอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะมิสเตอร์ โดนัท เป็นแมสแบรนด์ เราต้องการขยายสาขาให้มากที่สุด ต่อไปจะไม่ใช่แค่อำเภอเมือง แต่เข้าไปยังอำเภอหลักๆ ด้วย เราจึงต้องมีโมเดลร้านที่หลากหลาย"
สำหรับเป้าหมาย 5 ปีหลังจากนี้ บริษัทตั้งเป้ามีสาขาทั้งสิ้น 350 แห่ง โดยปีนี้มีแผนเปิดสาขาอีกไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง ด้วยงบฯลงทุนต่อสาขาอยู่ที่ 4.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเดินหน้าปรับปรุงสาขาเดิมให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าทั้งสิ้น 10 สาขา โดยไฮไลต์ปีนี้จะอยูที่เซ็นทรัล เวิลด์ ในรูปของแฟลกชิป สโตร์ ขนาด 130 ตารางเมตร เป็นสาขาที่ทันสมัยที่สุด ด้วยงบฯลงทุน 2 เท่าจากปกติ
นอกจากนี้ กลยุทธ์หลักของมิสเตอร์โดนัท ยังเป็นการเดินหน้าสร้างแบรนด์อะแวร์เนสต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการวิจัยของ TNS ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ มิสเตอร์ โดนัท มากกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ ตนมองว่าน่าจะเกิดจากการมีจำนวนสาขาที่มากกว่า และการวางโพซิชั่นนิ่งที่อยู่ในระดับแมสกว่าคู่แข่ง ด้วยระดับราคาที่ต่ำกว่า 20-30%
ปัจจุบันมิสเตอร์ โดนัท ถือเป็นผู้นำตลาดโดนัทด้วยส่วนแบ่งถึง 70% จากมูลค่าตลาด 1,300-1,400 ล้านบาท โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของมิสเตอร์ โดนัท เรียกได้ว่ามาจากการเปิดตัวเมนู "พอนเดอริง" เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างล้นหลาม ที่สำคัญเมนูดังกล่าว ทำให้มิสเตอร์ โดนัทมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน จากที่ก่อนหน้านี้เมนูจะไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก ซึ่งทำให้คนสับสน และจากการรุกตลาดอย่างหนัก บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 75-80% ในอนาคตได้
"พอนเดอริง ทำให้เราแตกต่าง และฉีกจากคู่แข่ง ทำให้ภาพมิสเตอร์ โดนัทชัดในใจผู้บริโภค และขณะนี้เรากำลังคุยกับทางบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดตัวเมนู ที่เป็นนวัตกรรมในตลาดโดนัท เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด และผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะเห็นในครึ่งปีหลังจากนี้"
ในส่วนของธุรกิจอาหารในเครือเซ็นทรัล นาย สุชีพกล่าวว่า จะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เข้าสู่ตลาด หลังจากที่ "สเต็ก ฮันเตอร์" แบรนด์ที่ทางซีอาร์จีมีการพัฒนาขึ้นมาเอง ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยปัจจุบันเริ่มทยอยปิดตัวลง ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
มิสเตอร์ โดนัท รุกเต็มพิกัด โจทย์หลักเน้นสร้างฐานลูกค้า เดินหน้าผุดโมเดลต้นแบบ ก่อนรุกจริงปีหน้า ทั้งคาเทอริ่ง ดีลิเวอรี่ รถโมบายยูนิต มุ่งเจาะอีเวนต์ คอนเสิร์ต มั่นใจตลาดเปิดกว้าง พร้อมส่งเมนูใหม่ลงตลาดครึ่งปีหลัง หวังสร้างกระแสเหมือน พอนเดอริง มั่นใจปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% เผยซีอาร์จี เตรียมส่งแบรนด์ใหม่สู่ตลาดปลายปีนี้
นายสุชีพ ธรรมาชีพเจริญ ผู้จัดการทั่วไป "มิส เตอร์โดนัท" บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีนี้บริษัทจะรุกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ เนื่องจากปัจจุบันตลาดโดนัทยังเปิดกว้าง และมี โอกาสการเติบโตสูง โดยปีนี้มิสเตอร์ โดนัทตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
โดยขณะนี้บริษัทเตรียมทดลองโมเดลร้านในรูปแบบใหม่ๆ อาทิ รถโมบาย ยูนิต ที่มุ่งเจาะเข้าไปยังงานคอนเสิร์ตอีเวนต์ต่างๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง หรือการเข้าไปยังโรงเรียน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวธุรกิจจัดเลี้ยงนอกสถานที่ (คาเทอริ่ง) ที่เน้นรับจัดงานตามหมู่บ้าน ฯลฯ อีกทั้งการกลับมาเน้นธุรกิจดีลิเวอรี่มากขึ้น จากที่ผ่านมายังไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจังมากนัก ทั้งนี้ ทุกรูปแบบจะมีการทดลองโมเดลต้นแบบในปีนี้ ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในปีหน้า
"เราจะเดินหน้าสร้างฐานลูกค้ามากขึ้น จะแอ็กเกรสซีฟมากขึ้น จากการเปิดโมเดลใหม่ๆ ปีนี้ ทำให้เรามีการปรับโครงสร้างของบริษัท มีการเพิ่มบุคลากรเข้ามา เพื่อรองรับธุรกิจใหม่ๆ นอกจากนี้ จะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ร้าน ปรับองค์กรให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต"
ปัจจุบันมิสเตอร์ โดนัท มีสาขาทั้งสิ้น 174 แห่ง ถือว่าบริษัทมีจุดแข็งเรื่องการขยายสาขา นอกจากการขยายในศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลแล้ว บริษัทถือว่ามีพันธมิตรที่ดีกับศูนย์การค้า และรีเทลต่างๆ โดยปัจจุบันรูปแบบสาขาของมิสเตอร์โดนัท ประกอบด้วยคีออสก์ ซึ่งใช้พื้นที่ขนาดเล็ก มีความคล่องตัวในการขยายสาขา นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบโอเพ่น คิทเช่น ซึ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ ที่มีครัวเปิดเพื่อโชว์ขั้นตอนการผลิต รวมถึงส่งสินค้าให้กับ คีออสก์ต่างๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
สุดท้ายเป็นรูปแบบ "ไมโคร คิทเช่น" ที่มีรูปแบบเหมือนโอเพ่น คิทเช่น แต่กำลังการผลิตน้อยกว่า โดยอนาคตบริษัทยังมีแผนเปิด "มินิ ไมโคร คิทเช่น" ซึ่งเป็นการย่อส่วนพื้นที่ เพื่อให้สามารถเจาะเข้าไปยังชุมชนหรืออำเภอต่างๆ ได้
"อนาคตเราจะยังมีโมเดลอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะมิสเตอร์ โดนัท เป็นแมสแบรนด์ เราต้องการขยายสาขาให้มากที่สุด ต่อไปจะไม่ใช่แค่อำเภอเมือง แต่เข้าไปยังอำเภอหลักๆ ด้วย เราจึงต้องมีโมเดลร้านที่หลากหลาย"
สำหรับเป้าหมาย 5 ปีหลังจากนี้ บริษัทตั้งเป้ามีสาขาทั้งสิ้น 350 แห่ง โดยปีนี้มีแผนเปิดสาขาอีกไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง ด้วยงบฯลงทุนต่อสาขาอยู่ที่ 4.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเดินหน้าปรับปรุงสาขาเดิมให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าทั้งสิ้น 10 สาขา โดยไฮไลต์ปีนี้จะอยูที่เซ็นทรัล เวิลด์ ในรูปของแฟลกชิป สโตร์ ขนาด 130 ตารางเมตร เป็นสาขาที่ทันสมัยที่สุด ด้วยงบฯลงทุน 2 เท่าจากปกติ
นอกจากนี้ กลยุทธ์หลักของมิสเตอร์โดนัท ยังเป็นการเดินหน้าสร้างแบรนด์อะแวร์เนสต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการวิจัยของ TNS ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่าผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ มิสเตอร์ โดนัท มากกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ ตนมองว่าน่าจะเกิดจากการมีจำนวนสาขาที่มากกว่า และการวางโพซิชั่นนิ่งที่อยู่ในระดับแมสกว่าคู่แข่ง ด้วยระดับราคาที่ต่ำกว่า 20-30%
ปัจจุบันมิสเตอร์ โดนัท ถือเป็นผู้นำตลาดโดนัทด้วยส่วนแบ่งถึง 70% จากมูลค่าตลาด 1,300-1,400 ล้านบาท โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของมิสเตอร์ โดนัท เรียกได้ว่ามาจากการเปิดตัวเมนู "พอนเดอริง" เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างล้นหลาม ที่สำคัญเมนูดังกล่าว ทำให้มิสเตอร์ โดนัทมีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน จากที่ก่อนหน้านี้เมนูจะไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก ซึ่งทำให้คนสับสน และจากการรุกตลาดอย่างหนัก บริษัทคาดว่าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 75-80% ในอนาคตได้
"พอนเดอริง ทำให้เราแตกต่าง และฉีกจากคู่แข่ง ทำให้ภาพมิสเตอร์ โดนัทชัดในใจผู้บริโภค และขณะนี้เรากำลังคุยกับทางบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเปิดตัวเมนู ที่เป็นนวัตกรรมในตลาดโดนัท เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด และผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะเห็นในครึ่งปีหลังจากนี้"
ในส่วนของธุรกิจอาหารในเครือเซ็นทรัล นาย สุชีพกล่าวว่า จะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เข้าสู่ตลาด หลังจากที่ "สเต็ก ฮันเตอร์" แบรนด์ที่ทางซีอาร์จีมีการพัฒนาขึ้นมาเอง ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก โดยปัจจุบันเริ่มทยอยปิดตัวลง ซึ่งคาดว่าจะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
อานตี้แอนส์ลุย"แคเทอริ่ง"หวังเพิ่มยอด เจาะออฟพิศบิลดิ้ง-เร่งเครื่องผุดสาขา
อานตี้ แอนส์รุกขยายสาขาเพิ่ม พร้อมเพิ่มงบฯสื่อสารการตลาด เน้นผู้บริโภครู้จักเพรทเซลมากขึ้น เปิดตัวรูปแบบบริการใหม่ "แคเทอริ่ง" เริ่มเทสต์ 10 สาขาเจาะลูกค้าออฟฟิศบิลดิ้ง มั่นใจปีนี้ยังโตต่อเนื่องที่ 30% ล่าสุดซีอาร์จีปรับองค์กรผนึก 5 แบรนด์ ลดต้นทุน ใช้แวร์เฮาส์เดียวกัน พร้อมลดความซ้ำซ้อนการบริหาร
นายสุชีพ ธรรมาชีพเจริญ ผู้จัดการทั่วไป อานตี้ แอนส์ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้ารุกตลาดอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าเปิดสาขากว่า 20 แห่ง จากปีที่แล้วมีการเปิดสาขาทั้งสิ้น 30 แห่ง ขณะนี้อานตี้ แอนส์มีสาขาทั้งสิ้น 75 แห่ง ซึ่งถือว่าน่าพอใจและตั้งเป้าว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะมีสาขาไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง เพื่อให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ทั้งนี้ แนวทางการขยายสาขาจะเน้นอยู่ในศูนย์การค้ามากกว่าการเปิดเป็นสแตนด์อะโลน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของอานตี้ แอนส์เน้นการเข้ามาซื้อสินค้าเมื่อเดินผ่านร้าน ผ่านการกระตุ้น อาทิ กลิ่นอบเพรทเซล หรือเรียกว่าเป็น impulse brand มากกว่าจะเป็น destination brand ที่ลูกค้ามุ่งจะมาเข้าร้านอย่างเฉพาะเจาะจง และโปรดักต์ของอานตี้ แอนส์ก็เหมาะในการซื้อเพื่อเดินรับประทานด้วย (walk away)
"โจทย์สำคัญของแบรนด์หลังจากนี้ คือ การเน้นสื่อสารให้ผู้บริโภครู้จักเพรทเซลมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแม้สินค้าจะเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยมากขึ้นสำหรับลูกค้าคนไทย แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่ยังเป็นช่องว่าง ซึ่งเราต้องเจาะเข้าไป"
นายสุชีพกล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทใช้งบฯลงทุนในการสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ถึงแบรน์อานตี้ แอนส์อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้วางงบฯโฆษณาอยู่ที่ 6.5% ของยอดขายซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นจึงต้องเน้นสร้างแบรนด์ อะแวร์เนสกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเร็วๆ นี้บริษัทกำลังจะเปิดให้บริการสาขาอานตี้ แอนส์ที่เป็นแฟลกชิปสโตร์ในเซ็นทรัล เวิลด์ฯด้วยพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นและการตกแต่งในรูปลักษณ์ใหม่ โดยตั้งเป้าให้สาขาดังกล่าวมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของอานตี้ แอนส์ทั้งหมด
นอกจากนี้ บริษัทก็มุ่งมั่นที่จะเพิ่มความหลากหลายของเมนูสินค้า นอกเหนือจากเพรทเซล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า อาทิ การเพิ่มเมนูเครื่องดื่ม รวมถึงการพัฒนาเพรทเซลรูปแบบใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า โดยแนวทางการออกสินค้าใหม่ๆ นอกจากการนำไอเดียหรือเมนูที่พัฒนาขึ้นจากบริษัทแม่แล้ว ก็จะมีทั้งการพัฒนาเมนูขึ้นมาเอง อาทิ เพรทเซล ทวิสต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ปัจจุบันมีลูกค้าประจำของอานตี้ แอนส์ (heavy user) อยู่เป็นจำนวนมาก คิดเป็นอัตราการใช้บริการที่ร้านไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 10-20% ของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งปกติใช้บริการเฉลี่ย 4 ครั้งต่อเดือน ส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินกลยุทธ์ CRM (customer relationship management) หรือการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และปีนี้ก็ยังเน้นกลยุทธ์ดังกล่าวโดยตั้งเป้าเพิ่มฐานสมาชิกอยูที่ 1.5 แสนคน
ผู้จัดการทั่วไป อานตี้ แอนส์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังได้เริ่มทดลองให้บริการรูปแบบใหม่ "แคเทอริ่ง" หรือการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ปัจจุบันเริ่มให้บริการอยู่ที่ 10 สาขา เน้นในอาคารสำนักงานเป็นหลัก โดยมุ่งจัดเลี้ยงในอาคาร สำนักงานที่มีการประชุม หรือการจัดงานสัมมนาต่างๆ เนื่องจากมองเห็นช่องว่างตลาดที่จะขยายฐานลูกค้าได้ ทั้งนี้อานตี้ แอนส์ตั้งเป้าการเติบโตของปีนี้อยู่ที่ 30% โดยปัจจุบันอานตี้ แอนส์ ประเทศไทยถือว่ามีจำนวนสาขาและยอดขาย ต่อร้านมากที่สุดนอกเหนือจากบริษัทแม่ที่สหรัฐอเมริกา และติดอันดับร้านที่มีจำนวน transaction สูงสุงติดอันดับท็อปเทนของอานตี้ แอนส์ทั่วโลก
นายสุชีพกล่าวอีกว่า ขณะนี้ซีอาร์จีได้มีการปรับตัวในหลายๆ เรื่องเพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ปลายปีก่อนได้ผนึกกำลังระหว่าง 5 แบรนด์ เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น อาทิ การใช้คลังสินค้าร่วมกันทำให้สามารถประหยัดค่าขนส่ง นอกจากนี้ยังควบรวมแผนกที่ซ้ำซ้อนของแต่ละแบรนด์ให้มาอยู่ร่วมในแผนกเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกด้วย
อานตี้ แอนส์รุกขยายสาขาเพิ่ม พร้อมเพิ่มงบฯสื่อสารการตลาด เน้นผู้บริโภครู้จักเพรทเซลมากขึ้น เปิดตัวรูปแบบบริการใหม่ "แคเทอริ่ง" เริ่มเทสต์ 10 สาขาเจาะลูกค้าออฟฟิศบิลดิ้ง มั่นใจปีนี้ยังโตต่อเนื่องที่ 30% ล่าสุดซีอาร์จีปรับองค์กรผนึก 5 แบรนด์ ลดต้นทุน ใช้แวร์เฮาส์เดียวกัน พร้อมลดความซ้ำซ้อนการบริหาร
นายสุชีพ ธรรมาชีพเจริญ ผู้จัดการทั่วไป อานตี้ แอนส์ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้ารุกตลาดอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าเปิดสาขากว่า 20 แห่ง จากปีที่แล้วมีการเปิดสาขาทั้งสิ้น 30 แห่ง ขณะนี้อานตี้ แอนส์มีสาขาทั้งสิ้น 75 แห่ง ซึ่งถือว่าน่าพอใจและตั้งเป้าว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะมีสาขาไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง เพื่อให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ทั้งนี้ แนวทางการขยายสาขาจะเน้นอยู่ในศูนย์การค้ามากกว่าการเปิดเป็นสแตนด์อะโลน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของอานตี้ แอนส์เน้นการเข้ามาซื้อสินค้าเมื่อเดินผ่านร้าน ผ่านการกระตุ้น อาทิ กลิ่นอบเพรทเซล หรือเรียกว่าเป็น impulse brand มากกว่าจะเป็น destination brand ที่ลูกค้ามุ่งจะมาเข้าร้านอย่างเฉพาะเจาะจง และโปรดักต์ของอานตี้ แอนส์ก็เหมาะในการซื้อเพื่อเดินรับประทานด้วย (walk away)
"โจทย์สำคัญของแบรนด์หลังจากนี้ คือ การเน้นสื่อสารให้ผู้บริโภครู้จักเพรทเซลมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งแม้สินค้าจะเป็นที่รู้จักและคุ้นเคยมากขึ้นสำหรับลูกค้าคนไทย แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่ยังเป็นช่องว่าง ซึ่งเราต้องเจาะเข้าไป"
นายสุชีพกล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทใช้งบฯลงทุนในการสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ถึงแบรน์อานตี้ แอนส์อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้วางงบฯโฆษณาอยู่ที่ 6.5% ของยอดขายซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นจึงต้องเน้นสร้างแบรนด์ อะแวร์เนสกับผู้บริโภคมากขึ้น โดยเร็วๆ นี้บริษัทกำลังจะเปิดให้บริการสาขาอานตี้ แอนส์ที่เป็นแฟลกชิปสโตร์ในเซ็นทรัล เวิลด์ฯด้วยพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นและการตกแต่งในรูปลักษณ์ใหม่ โดยตั้งเป้าให้สาขาดังกล่าวมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของอานตี้ แอนส์ทั้งหมด
นอกจากนี้ บริษัทก็มุ่งมั่นที่จะเพิ่มความหลากหลายของเมนูสินค้า นอกเหนือจากเพรทเซล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า อาทิ การเพิ่มเมนูเครื่องดื่ม รวมถึงการพัฒนาเพรทเซลรูปแบบใหม่ๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า โดยแนวทางการออกสินค้าใหม่ๆ นอกจากการนำไอเดียหรือเมนูที่พัฒนาขึ้นจากบริษัทแม่แล้ว ก็จะมีทั้งการพัฒนาเมนูขึ้นมาเอง อาทิ เพรทเซล ทวิสต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ปัจจุบันมีลูกค้าประจำของอานตี้ แอนส์ (heavy user) อยู่เป็นจำนวนมาก คิดเป็นอัตราการใช้บริการที่ร้านไม่ต่ำกว่า 8 ครั้งต่อเดือน ซึ่งคิดเป็น 10-20% ของลูกค้าทั้งหมด ซึ่งปกติใช้บริการเฉลี่ย 4 ครั้งต่อเดือน ส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินกลยุทธ์ CRM (customer relationship management) หรือการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และปีนี้ก็ยังเน้นกลยุทธ์ดังกล่าวโดยตั้งเป้าเพิ่มฐานสมาชิกอยูที่ 1.5 แสนคน
ผู้จัดการทั่วไป อานตี้ แอนส์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทยังได้เริ่มทดลองให้บริการรูปแบบใหม่ "แคเทอริ่ง" หรือการจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ปัจจุบันเริ่มให้บริการอยู่ที่ 10 สาขา เน้นในอาคารสำนักงานเป็นหลัก โดยมุ่งจัดเลี้ยงในอาคาร สำนักงานที่มีการประชุม หรือการจัดงานสัมมนาต่างๆ เนื่องจากมองเห็นช่องว่างตลาดที่จะขยายฐานลูกค้าได้ ทั้งนี้อานตี้ แอนส์ตั้งเป้าการเติบโตของปีนี้อยู่ที่ 30% โดยปัจจุบันอานตี้ แอนส์ ประเทศไทยถือว่ามีจำนวนสาขาและยอดขาย ต่อร้านมากที่สุดนอกเหนือจากบริษัทแม่ที่สหรัฐอเมริกา และติดอันดับร้านที่มีจำนวน transaction สูงสุงติดอันดับท็อปเทนของอานตี้ แอนส์ทั่วโลก
นายสุชีพกล่าวอีกว่า ขณะนี้ซีอาร์จีได้มีการปรับตัวในหลายๆ เรื่องเพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ปลายปีก่อนได้ผนึกกำลังระหว่าง 5 แบรนด์ เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น อาทิ การใช้คลังสินค้าร่วมกันทำให้สามารถประหยัดค่าขนส่ง นอกจากนี้ยังควบรวมแผนกที่ซ้ำซ้อนของแต่ละแบรนด์ให้มาอยู่ร่วมในแผนกเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกด้วย
บล.ซิกโก้ : CENTEL แนะนำซื้อ ประเมินมูลค่าเหมาะสมของหุ้นที่ 9.00 บาท
SSEC แนะนำ ซื้อ CENTEL โดยมีมูลค่าเหมาะสม 9.00 บาท เนื่องจากเรามองว่า
บริษัทฯ มีทิศทางการเติบโตที่ดีในระยะยาว จากการทยอยเปิดโรงแรมใหม่ตั้งแต่ช่วง FY06E
ถึง FY09E โดยจัดหาเงินทุนภายนอกจากการเพิ่มทุนและการใช้เงินกู้ในการก่อสร้าง เพื่อ
รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรม
เพิ่มขึ้น ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าธุรกิจอาหาร อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยง
ที่กดดันผลประกอบการ ประกอบไปด้วยดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น และการสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่
โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซา กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา
ในประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคม 06 มีทั้งสิ้น 0.93 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15%YoY ส่งผลให้ตัว
เลข 5M06 อยู่ที่ 5.15 ล้านคน ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับตัวเลข 1H06 ที่ 5.18 ล้านคน SSEC
จึงคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยว 1H06 จะขยายตัว YoY โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากช่วง
พระราชพิธีฉลองสิริราชย์สมบัติครบ 60 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนมิถุนายน
ขณะที่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอันดามัน ภายหลังจากเหตุภัย
ธรรมชาติสึนามิในปลายปี 2004 คาดว่าจะทำให้ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวตลอดปีขยายตัว
เช่นกัน SSEC มีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เนื่องด้วยศักยภาพ
ด้านสถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล ซึ่ง
ได้รับความนิยมทั้งนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีอัตราการ
ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐต่อการท่องเที่ยว
การเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากขึ้น รวมทั้ง
แนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าจัดงานประชุม สัมมนา และนิทรรศการ (MICE) เป็นปัจจัย
สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมในระยะยาว
ปัจจุบัน CENTEL อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจโรงแรม ทั้งการเข้าซื้อกิจการโรงแรม
อื่นเดิมและการก่อสร้างใหม่ ซึ่งในปีนี้จะมี 3 โรงแรมใหม่เปิดให้บริการ ได้แก่ เซ็นทรัลกระบี่
เบย์รีสอร์ท เซ็นทรัลกะรนบีชรีสอร์ท และเซ็นทรัลกะตะรีสอร์ท โดย 2 แห่งหลังนี้เป็นโรงแรม
ที่ CENTEL เข้าไปซื้อกิจการมา และถือหุ้น 50% ร่วมกับผู้ลงทุนรายอื่นสมมติฐานอัตราการ
เข้าพักโดยรวม (Occupancy Rate) สำหรับธุรกิจโรงแรมใน FY06E จึงเท่ากับ 64% และ
มีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย(ARR) 3,119 บาทต่อห้องต่อคืน ขณะที่ FY07E จะปรับตัวดีขึ้นเป็น
68.2% และ 3,426บาทตามลำดับ หลังจากโรงแรมใหม่เปิดบริการเต็มที่
สำหรับ FY08E CENTEL จะเปิดบริการโรงแรมเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โรงแรมเซ็นทรัล
เวิล์ด และเซ็นทรัลมิราจบีชพัทยา ส่งผลให้จำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นถึง 60% จาก FY05A ที่มี
จำนวน 2,736 ห้อง SSEC จึงมองว่าธุรกิจโรงแรมจะมีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของสัดส่วน
รายได้ ผลประกอบการ และอัตราการทำกำไรในระยะยาว เนื่องจากอัตราค่า ARR ในปีดังกล่าว
ที่คาดว่าจะสูงขึ้น 37% จาก 2,778 บาทต่อห้องต่อคืนใน FY05A เป็นผลของการเปิดโรงแรม
ระดับ 5 ดาว และราคาห้องพักที่ปรับเพิ่ม อีกทั้งยังมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงกว่าธุรกิจอาหาร
ซึ่งอยู่ที่85% บนสมมติฐานของเรา
สำหรับธุรกิจอาหาร ณ สิ้น FY05A CENTEL มีสาขาร้านอาหารบริการด่วน (QSR)
อยู่ทั้งสิ้น 422 แห่งจาก 6ตรายี่ห้อ ซึ่ง FY06E ได้เลิกกิจการร้าน Steak Hunter ที่มีเพียง
5 สาขา คิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 1% ของธุรกิจอาหารในปีก่อนออกไป และจะขยายสาขา
ของร้านอาหารที่มีอยู่เพิ่ม 60 แห่งในปีนี้ อย่างไรก็ตามการเติบโตของรายได้นั้นต้องพึ่งพา
การออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่ง SSEC มองว่าจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงจากธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนที่มีประเภทหลากหลาย
และจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน หลังจาก FY05A มี Same Store Sales Growth (SSG)
10.6% เราจึงกำหนดสมมติฐานอย่างระมัดระวังที่อัตรา SSG 8.0% ใน FY06E ขณะที่
ตั้งแต่ FY07E ถึง FY10E ประเมินอัตรา SSG เฉลี่ย 7.4% ต่อปี และเพิ่มจำนวนสาขา
45 แห่งต่อปีหลังการแตกพาร์จาก 5 บาท เป็น 1 บาท CENTEL ได้ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน
จาก 900 ลบ. เป็น 1,580.8ลบ. โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ 680.8 ล้านหุ้น แบ่งเป็น จัดสรร
450 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RightOffering) ตามอัตราส่วน 2:1 ในราคาหุ้นละ
1.60 บาท หลังจากนั้นจึงจัดสรร 170 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (Public
Offering) โดยยังไม่กำหนดราคาขาย และตามด้วยการเสนอขายวอแรนต์โดยไม่คิดมูลค่า
ในอัตราส่วน 25:1 และนำเงินที่ได้รับไปลงทุนขยายธุรกิจโรงแรมอีก 3 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการ
ก่อสร้าง ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าวจะก่อให้เกิด Dilution Effect รวมทั้งสิ้น 43.1% และ
40.8% สำหรับกรณีไม่นับรวมวอแรนต์ หลังจาก CENTEL เพิ่มทุนทั้งการทำ Right Offering
และ Public Offering นั้น SSEC ประเมินว่า สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) จากเดิมที่
1.3 เท่า ณ สิ้น FY05A จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.9 เท่า ณ FY06E แสดงถึงสถานะทางการเงิน
ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดหาเงินทุนเพื่อนำมาก่อสร้างโรงแรมยังคงพึ่งพาด้วยวิธีก่อหนี้อีก
ส่วนหนึ่งเช่นกัน กอปรกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้น อันส่งผลต่อ
ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทที่เพิ่มขึ้นตาม เป็นปีจจัยที่กดดันการขยายตัวของผลประกอบการตั้งแต่
FY06E เป็นต้นไปSSEC คาดการณ์ผลประกอบการ FY06E ว่า CENTEL จะมีรายได้รวม
6,738 ลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY แบ่งเป็นธุรกิจโรงแรม 1,398 ลบ. ธุรกิจอาหาร 5,013 ลบ.
และธุรกิจอื่น 327 ลบ. มีอัตรากำไรขั้นต้น 56.2% ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
จาก 25 ลบ. ในปีก่อน เป็น 114 ลบ. เนื่องจากบริษัทฯได้ออกหุ้นกู้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
รวมมูลค่า 1,000 ลบ. และมีการบันทึกกำไรพิเศษประมาณ 107 ลบ. จากการขายโรงแรม
ลอยนํ้าเซ็นทรัลมารีไทม์ ดิลี ใน 2Q06E ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการ
รายไตรมาสใน 2Q06Eด้วยเช่นกัน กำไรสุทธิ FY06E จึงเท่ากับ 618 ลบ. เพิ่มขึ้น 15%YoY
ส่วน FY07E นั้น เราประมาณการรายได้รวม เท่ากับ 7,448 ลบ. เพิ่มขึ้น 11%YoY แบ่งเป็น
ธุรกิจโรงแรม 1,750 ลบ. ธุรกิจอาหาร 5,348 ลบ. และธุรกิจอื่น 350 ลบ. บนสมมติฐานอัตรา
กำไรขั้นต้น 57.2% ทำให้กำไรปกติจะขยายตัว 19%YoY เป็น 762 ลบ.และกำไรสุทธิขยายตัว
5%YoY เป็น 646 ลบ.
Dilution Effect จากการเพิ่มทุนตามที่ได้ระบุไว้ข้างต้นจะส่งผลกับกำไรต่อหุ้น (EPS)
ของ CENTEL ซึ่งบนประมาณการของเรา ได้กำหนดสมมติฐานอย่างอนุรักษ์นิยมว่ามีการออก
หุ้นเพิ่มทุนทั้ง Right Offering และ Public Offeringภายใน FY06E โดยนำจำนวนหุ้นทั้ง
หมดของการเพิ่มทุนทั้ง 2 รูปแบบมาคำนวณหา EPS (Fully diluted) อย่างไรก็ตาม เราได้
เปรียบเทียบกรณีดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นถึงอัตราการขยายตัวของ EPS ดังตารางการที่
CENTEL เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นผู้นำด้านค้าปลีกและพัฒนาศูนย์การค้านั้น
SSEC มองว่าเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนหนึ่งที่เสริมศักยภาพ CENTEL ในระยะยาว เนื่องจากการ
ขยายตัวของธุรกิจดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจของบริษัทฯเช่นกัน ทั้งธุรกิจ
โรงแรม ดังเช่นโรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซา และโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ด และธุรกิจร้าน
อาหารบริการด่วนที่เปิดสาขาในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัลสัญญาเช่า
พื้นที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย กับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็น
ที่ตั้งโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซา ของ CENTEL จะสิ้นสุดลงในปลายปี 2008 นี้ เป็นความ
เสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจโรงแรม เนื่องจากหากไม่ได้รับการต่อสัญญาใหม่
อสังหาริมทรัพย์บนที่ดินดังกล่าวจะตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งหมด ขณะที่การ
ต่อสัญญาเช่า คาดว่าจะส่งผลให้ CENTEL มีต้นทุนจากค่าเช่าที่ดินที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น
ดังนั้น บนสมมติฐานว่าบริษัทฯไม่ได้รับการต่อสัญญา SSEC จึงไม่รวมโครงการดังกล่าวไว้
ในประมาณการตั้งแต่ FY09E เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าใน FY09E การเปิด
ดำเนินการเต็มที่ของโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ด และเซ็นทรัลมิราจบีช พัทยา จะสามารถชดเชย
รายได้จากโรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซา ที่หายไปได้
SSEC ประเมินมูลค่าเหมาะสมของหุ้นที่ 9.00 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 8.06%)
คิดเป็น Prospective PER ที่22.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับ PER หุ้นกลุ่มโรงแรมที่ดำเนินธุรกิจ
รูปแบบเดียวกัน ด้วยทิศทางการเติบโตของผลประกอบการในระยะยาว ขณะที่ราคาปัจจุบันมี
Upside อยู่ 45% และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลที่ระดับผลตอบแทน 3% เราจึง
แนะนำ ซื้อ สำหรับ CENTEL
SSEC แนะนำ ซื้อ CENTEL โดยมีมูลค่าเหมาะสม 9.00 บาท เนื่องจากเรามองว่า
บริษัทฯ มีทิศทางการเติบโตที่ดีในระยะยาว จากการทยอยเปิดโรงแรมใหม่ตั้งแต่ช่วง FY06E
ถึง FY09E โดยจัดหาเงินทุนภายนอกจากการเพิ่มทุนและการใช้เงินกู้ในการก่อสร้าง เพื่อ
รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้ธุรกิจโรงแรม
เพิ่มขึ้น ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าธุรกิจอาหาร อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ก็ยังคงมีปัจจัยเสี่ยง
ที่กดดันผลประกอบการ ประกอบไปด้วยดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น และการสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่
โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซา กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา
ในประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคม 06 มีทั้งสิ้น 0.93 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15%YoY ส่งผลให้ตัว
เลข 5M06 อยู่ที่ 5.15 ล้านคน ซึ่งนับว่าใกล้เคียงกับตัวเลข 1H06 ที่ 5.18 ล้านคน SSEC
จึงคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยว 1H06 จะขยายตัว YoY โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากช่วง
พระราชพิธีฉลองสิริราชย์สมบัติครบ 60 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเดือนมิถุนายน
ขณะที่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลอันดามัน ภายหลังจากเหตุภัย
ธรรมชาติสึนามิในปลายปี 2004 คาดว่าจะทำให้ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวตลอดปีขยายตัว
เช่นกัน SSEC มีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เนื่องด้วยศักยภาพ
ด้านสถานที่ท่องเที่ยวมีความหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล ซึ่ง
ได้รับความนิยมทั้งนักท่องเที่ยวไทย และต่างชาติ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีอัตราการ
ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน การสนับสนุนด้านนโยบายจากภาครัฐต่อการท่องเที่ยว
การเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากขึ้น รวมทั้ง
แนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าจัดงานประชุม สัมมนา และนิทรรศการ (MICE) เป็นปัจจัย
สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมในระยะยาว
ปัจจุบัน CENTEL อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจโรงแรม ทั้งการเข้าซื้อกิจการโรงแรม
อื่นเดิมและการก่อสร้างใหม่ ซึ่งในปีนี้จะมี 3 โรงแรมใหม่เปิดให้บริการ ได้แก่ เซ็นทรัลกระบี่
เบย์รีสอร์ท เซ็นทรัลกะรนบีชรีสอร์ท และเซ็นทรัลกะตะรีสอร์ท โดย 2 แห่งหลังนี้เป็นโรงแรม
ที่ CENTEL เข้าไปซื้อกิจการมา และถือหุ้น 50% ร่วมกับผู้ลงทุนรายอื่นสมมติฐานอัตราการ
เข้าพักโดยรวม (Occupancy Rate) สำหรับธุรกิจโรงแรมใน FY06E จึงเท่ากับ 64% และ
มีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย(ARR) 3,119 บาทต่อห้องต่อคืน ขณะที่ FY07E จะปรับตัวดีขึ้นเป็น
68.2% และ 3,426บาทตามลำดับ หลังจากโรงแรมใหม่เปิดบริการเต็มที่
สำหรับ FY08E CENTEL จะเปิดบริการโรงแรมเพิ่มอีก 2 แห่ง คือ โรงแรมเซ็นทรัล
เวิล์ด และเซ็นทรัลมิราจบีชพัทยา ส่งผลให้จำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นถึง 60% จาก FY05A ที่มี
จำนวน 2,736 ห้อง SSEC จึงมองว่าธุรกิจโรงแรมจะมีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของสัดส่วน
รายได้ ผลประกอบการ และอัตราการทำกำไรในระยะยาว เนื่องจากอัตราค่า ARR ในปีดังกล่าว
ที่คาดว่าจะสูงขึ้น 37% จาก 2,778 บาทต่อห้องต่อคืนใน FY05A เป็นผลของการเปิดโรงแรม
ระดับ 5 ดาว และราคาห้องพักที่ปรับเพิ่ม อีกทั้งยังมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงกว่าธุรกิจอาหาร
ซึ่งอยู่ที่85% บนสมมติฐานของเรา
สำหรับธุรกิจอาหาร ณ สิ้น FY05A CENTEL มีสาขาร้านอาหารบริการด่วน (QSR)
อยู่ทั้งสิ้น 422 แห่งจาก 6ตรายี่ห้อ ซึ่ง FY06E ได้เลิกกิจการร้าน Steak Hunter ที่มีเพียง
5 สาขา คิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 1% ของธุรกิจอาหารในปีก่อนออกไป และจะขยายสาขา
ของร้านอาหารที่มีอยู่เพิ่ม 60 แห่งในปีนี้ อย่างไรก็ตามการเติบโตของรายได้นั้นต้องพึ่งพา
การออกผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่ง SSEC มองว่าจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงจากธุรกิจร้านอาหารบริการด่วนที่มีประเภทหลากหลาย
และจำนวนมากขึ้นในปัจจุบัน หลังจาก FY05A มี Same Store Sales Growth (SSG)
10.6% เราจึงกำหนดสมมติฐานอย่างระมัดระวังที่อัตรา SSG 8.0% ใน FY06E ขณะที่
ตั้งแต่ FY07E ถึง FY10E ประเมินอัตรา SSG เฉลี่ย 7.4% ต่อปี และเพิ่มจำนวนสาขา
45 แห่งต่อปีหลังการแตกพาร์จาก 5 บาท เป็น 1 บาท CENTEL ได้ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน
จาก 900 ลบ. เป็น 1,580.8ลบ. โดยการออกหุ้นสามัญใหม่ 680.8 ล้านหุ้น แบ่งเป็น จัดสรร
450 ล้านหุ้น เสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RightOffering) ตามอัตราส่วน 2:1 ในราคาหุ้นละ
1.60 บาท หลังจากนั้นจึงจัดสรร 170 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (Public
Offering) โดยยังไม่กำหนดราคาขาย และตามด้วยการเสนอขายวอแรนต์โดยไม่คิดมูลค่า
ในอัตราส่วน 25:1 และนำเงินที่ได้รับไปลงทุนขยายธุรกิจโรงแรมอีก 3 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการ
ก่อสร้าง ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าวจะก่อให้เกิด Dilution Effect รวมทั้งสิ้น 43.1% และ
40.8% สำหรับกรณีไม่นับรวมวอแรนต์ หลังจาก CENTEL เพิ่มทุนทั้งการทำ Right Offering
และ Public Offering นั้น SSEC ประเมินว่า สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) จากเดิมที่
1.3 เท่า ณ สิ้น FY05A จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.9 เท่า ณ FY06E แสดงถึงสถานะทางการเงิน
ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การจัดหาเงินทุนเพื่อนำมาก่อสร้างโรงแรมยังคงพึ่งพาด้วยวิธีก่อหนี้อีก
ส่วนหนึ่งเช่นกัน กอปรกับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนทางการเงินปรับตัวสูงขึ้น อันส่งผลต่อ
ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทที่เพิ่มขึ้นตาม เป็นปีจจัยที่กดดันการขยายตัวของผลประกอบการตั้งแต่
FY06E เป็นต้นไปSSEC คาดการณ์ผลประกอบการ FY06E ว่า CENTEL จะมีรายได้รวม
6,738 ลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY แบ่งเป็นธุรกิจโรงแรม 1,398 ลบ. ธุรกิจอาหาร 5,013 ลบ.
และธุรกิจอื่น 327 ลบ. มีอัตรากำไรขั้นต้น 56.2% ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น
จาก 25 ลบ. ในปีก่อน เป็น 114 ลบ. เนื่องจากบริษัทฯได้ออกหุ้นกู้ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
รวมมูลค่า 1,000 ลบ. และมีการบันทึกกำไรพิเศษประมาณ 107 ลบ. จากการขายโรงแรม
ลอยนํ้าเซ็นทรัลมารีไทม์ ดิลี ใน 2Q06E ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการ
รายไตรมาสใน 2Q06Eด้วยเช่นกัน กำไรสุทธิ FY06E จึงเท่ากับ 618 ลบ. เพิ่มขึ้น 15%YoY
ส่วน FY07E นั้น เราประมาณการรายได้รวม เท่ากับ 7,448 ลบ. เพิ่มขึ้น 11%YoY แบ่งเป็น
ธุรกิจโรงแรม 1,750 ลบ. ธุรกิจอาหาร 5,348 ลบ. และธุรกิจอื่น 350 ลบ. บนสมมติฐานอัตรา
กำไรขั้นต้น 57.2% ทำให้กำไรปกติจะขยายตัว 19%YoY เป็น 762 ลบ.และกำไรสุทธิขยายตัว
5%YoY เป็น 646 ลบ.
Dilution Effect จากการเพิ่มทุนตามที่ได้ระบุไว้ข้างต้นจะส่งผลกับกำไรต่อหุ้น (EPS)
ของ CENTEL ซึ่งบนประมาณการของเรา ได้กำหนดสมมติฐานอย่างอนุรักษ์นิยมว่ามีการออก
หุ้นเพิ่มทุนทั้ง Right Offering และ Public Offeringภายใน FY06E โดยนำจำนวนหุ้นทั้ง
หมดของการเพิ่มทุนทั้ง 2 รูปแบบมาคำนวณหา EPS (Fully diluted) อย่างไรก็ตาม เราได้
เปรียบเทียบกรณีดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นถึงอัตราการขยายตัวของ EPS ดังตารางการที่
CENTEL เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นผู้นำด้านค้าปลีกและพัฒนาศูนย์การค้านั้น
SSEC มองว่าเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนหนึ่งที่เสริมศักยภาพ CENTEL ในระยะยาว เนื่องจากการ
ขยายตัวของธุรกิจดังกล่าวจะเอื้อประโยชน์ต่อการขยายธุรกิจของบริษัทฯเช่นกัน ทั้งธุรกิจ
โรงแรม ดังเช่นโรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซา และโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ด และธุรกิจร้าน
อาหารบริการด่วนที่เปิดสาขาในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัลสัญญาเช่า
พื้นที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย กับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็น
ที่ตั้งโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซา ของ CENTEL จะสิ้นสุดลงในปลายปี 2008 นี้ เป็นความ
เสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจโรงแรม เนื่องจากหากไม่ได้รับการต่อสัญญาใหม่
อสังหาริมทรัพย์บนที่ดินดังกล่าวจะตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยทั้งหมด ขณะที่การ
ต่อสัญญาเช่า คาดว่าจะส่งผลให้ CENTEL มีต้นทุนจากค่าเช่าที่ดินที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น
ดังนั้น บนสมมติฐานว่าบริษัทฯไม่ได้รับการต่อสัญญา SSEC จึงไม่รวมโครงการดังกล่าวไว้
ในประมาณการตั้งแต่ FY09E เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าใน FY09E การเปิด
ดำเนินการเต็มที่ของโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ด และเซ็นทรัลมิราจบีช พัทยา จะสามารถชดเชย
รายได้จากโรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซา ที่หายไปได้
SSEC ประเมินมูลค่าเหมาะสมของหุ้นที่ 9.00 บาท ด้วยวิธี DCF (WACC 8.06%)
คิดเป็น Prospective PER ที่22.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับ PER หุ้นกลุ่มโรงแรมที่ดำเนินธุรกิจ
รูปแบบเดียวกัน ด้วยทิศทางการเติบโตของผลประกอบการในระยะยาว ขณะที่ราคาปัจจุบันมี
Upside อยู่ 45% และคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลที่ระดับผลตอบแทน 3% เราจึง
แนะนำ ซื้อ สำหรับ CENTEL
Update/CENTEL ยังมั่นใจโกยรายได้ทั้งปีตามเป้าที่ 6.9 พันลบ. เหตุธุรกิจอาหาร-
โรงแรมขยายตัวดี
ผู้บริหาร CENTEL เผยครึ่งปีหลังรายได้และกำไรสูสีครึ่งปีแรก จากธุรกิจเติบโตดีไม่ต่าง
กัน มั่นใจทั้งปีโกยรายได้เข้าเป้าที่ 6.9พันล้านบาท จากปีก่อนที่ 6.23 พันล้านบาท คาดเพิ่มทุน
1 พันล้านบาทได้ใน Q4/49 หลังยื่นไฟลิ่งก.ล.ต.ไปแล้วเมื่อเดือนก่อน หวังลดลง D/E เหลือ 1.2
เท่า จาก 1.5 เท่าปัจจุบัน ส่วนGross Margin มั่นใจรักษาได้ได้ 10% และเผยอยู่ระหว่างก่อ
สร้างโรงแรม 3 แห่ง มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทหากสร้างเสร็จหมดปี 52 ขยับสัดส่วนธุรกิจ
โรงแรมเพิ่มเป็น 50% จาก 40%
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัทโรงแรม
เซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าผลประกอบ
การครึ่งปีหลังมีแนวโน้มใกล้เคียงจากครึ่งปีแรกที่มีรายได้3,591.19 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ
335.57 ล้านบาทเนื่องจากผลประกอบการขยายตัวดีไม่ต่างจากครึ่งปีแรกนัก
ทั้งนี้ มั่นใจว่าทั้งปีจะมีรายได้ 6.9 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 6,239.12
ล้านบาทเนื่องจากธุรกิจโรงแรมและอาหารยังขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจ
อาหาร โดยเฉพาะ เคเอฟซี อานท์ตี้แอนด์และมิสเตอร์โดนัท จำนวน 4.2 - 4.3 พันล้านบาท และ
รายได้จากธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะที่สมุย หัวหิน หาดใหญ่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ จำนวน 2.6 -
2.7 พันล้านบาท ฉะนั้นรายได้ทั้งปีน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
'ตามปกติช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 จะเป็น High Season ของธุรกิจโดยรายได้จาก
ทั้งอาหารและโรงแรมที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆฉะนั้นผลงานครึ่งหลังนี้ก็น่าสูสีกับครึ่งปีแรก ส่วนทั้งปี
เราวางเป้ารายได้ไว้ที่ 7 พันล้านบาท ซึ่งหากเป็นแบบ Conservativeก็ 6.9 พันล้านบาท และมั่น
ใจว่าทั้งปีเป็นไปตามเป้าได้' นายรณชิต กล่าว
นายรณชิต กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มทุนล็อตใหม่ มูลค่า 1 พันล้านบาทเพื่อเสนอขาย
ให้กับประชาชนทั่วไป (PO) หลังจากก่อนหน้านี้ได้เพิ่มทุนไปแล้ว720 ล้านบาท โดยในเดือน
สิงหาคมที่ผ่านมาได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก
ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าก.ล.ต.จะอนุมัติและพร้อมเปิด
ขายหุ้นเพิ่มทุนได้ประมาณไตรมาส 4/2549โดยบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้สร้าง
โรงแรมแห่งใหม่ซึ่งหลังจากการเพิ่มทุนรอบนี้จะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 1.2
เท่า จาก 1.5 เท่าปัจจุบัน
' D/E น่าจะลดลงได้ ขณะที่ Gross Margin ก็น่าดีขึ้นโดยมั่นใจว่าสามารถรักษา Gross
Margin ทั้ง ปีอยู่ที่ 10% ทรงตัวจากปีก่อนหลังบริหารต้นทุนดีอย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาวะ
เศรษฐกิตที่ชะลอตัว' นายรณชิตกล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรม 3 แห่ง มูลค่ารวมกว่า1 หมื่นล้าน
บาท ประกอบด้วย โรงแรมเซ็นทรัล เวิล์ด คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 2/2551 โรงแรม
เซ็นทรัล มิราจ วงศ์อมาตย์ คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จไตรมาส4/2551 และเซ็นทรัล ภูเก็ต คาดว่า
จะสร้างแล้วเสร็จ ปี 2552ซึ่งหลังจากสร้าโรงแรมดังกล่าวได้หมดตามแผนจะหนุนให้รายได้ของ
บริษัทฯเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่และน่ามีนักท่องเที่ยวเข้าพักจำนวน
มาก โดยหลังจากสร้างโรงแรมแล้วเสร็จสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้นจาก 40% ใน
ปัจจุบันเหลือ 50% ในปี2552 ขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจอาหารจะลดลงเหลือ 50% จาก 60%
ในปัจจุบัน
ส่วนสำหรับการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 28 กันยายนนี้บริษัทฯจะได้ผลดีตามไปด้วย
เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้สนามบินดังกล่าวน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวอยู่พอสมควร
ซึ่งการที่บริษัทฯมีโรงแรมกระจายอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ อาทิ ภูเก็ต หัวหิน หาดใหญ่
พัทยา รวมถึงกรุงเทพฯ ก็น่าจะทำให้มีปริมาณนักท่องเที่ยวเลือกเข้าพักในโรงแรมเพิ่มมากขึ้น
สำหรับพาร์ทเนอร์ที่เข้ามาร่วมธุรกิจขณะนี้ก็มีพาร์ทเนอร์เข้ามาเจรจาทั้งไทยและต่าง
ประเทศแต่บริษัทฯยังไม่ได้สรุปพาร์ทเนอร์รายใดเป็นพิเศษขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดกว้างรับ
พาร์ทเนอร์ใหม่ๆที่เตรียมเข้ามาเจรจาต่อเนื่องทั้งนี้ พาร์ทเนอร์ที่จะมาร่วมธุรกิจอาจไม่จำเป็น
ต้องประกอบธุรกิจโรงแรมหรืออาหารเช่นเดียวกับบริษัทฯก็ได้แต่พาร์ทเนอร์น่าจะมาสนับสนุนใน
เรื่องฐานะทางการเงินและความเชี่ยวชาญธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นพิเศษเพื่อมาสานต่อธุรกิจของ
บริษัทฯให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายรณชิต กล่าวด้วยว่า ราคาหุ้น CENTELบนกระดานช่วงนี้มักเคลื่อนไหวขึ้นลงตามภาวะ
ตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทฯยืนยันทำหน้าที่ผู้บริหารให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ผู้ถือหุ้นซึ่งเชื่อว่าหาก
ผลประกอบการดีในที่สุดจะสะท้อนกับราคาหุ้นเอง
'ภาวะตลาดเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหมดแต่หากดูเฉพาะราคาหุ้น
เราจะพบว่าราคายังต่ำ เนื่องจากมี P/E เพียง 15 เท่าต่างจากคู่แข่งที่มี P/E อยู่ที่ประมาณ 22 -
23 เท่า' นายรณชิต กล่าว
สำหรับการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2549 บริษัทฯพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลให้ได้ตามนโยบาย
60% ของกำไรสุทธิ แต่ขณะนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าจะจ่ายปันผลได้สูงกว่าปีก่อนที่ 1.25บาท/หุ้น
ได้หรือไม่ เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมของคณะกรรมการโดยจะมีการประชุมในช่วงเดือน
มีนาคม 2550
โรงแรมขยายตัวดี
ผู้บริหาร CENTEL เผยครึ่งปีหลังรายได้และกำไรสูสีครึ่งปีแรก จากธุรกิจเติบโตดีไม่ต่าง
กัน มั่นใจทั้งปีโกยรายได้เข้าเป้าที่ 6.9พันล้านบาท จากปีก่อนที่ 6.23 พันล้านบาท คาดเพิ่มทุน
1 พันล้านบาทได้ใน Q4/49 หลังยื่นไฟลิ่งก.ล.ต.ไปแล้วเมื่อเดือนก่อน หวังลดลง D/E เหลือ 1.2
เท่า จาก 1.5 เท่าปัจจุบัน ส่วนGross Margin มั่นใจรักษาได้ได้ 10% และเผยอยู่ระหว่างก่อ
สร้างโรงแรม 3 แห่ง มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทหากสร้างเสร็จหมดปี 52 ขยับสัดส่วนธุรกิจ
โรงแรมเพิ่มเป็น 50% จาก 40%
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร บริษัทโรงแรม
เซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวกับ eFinanceThai.com ว่าผลประกอบ
การครึ่งปีหลังมีแนวโน้มใกล้เคียงจากครึ่งปีแรกที่มีรายได้3,591.19 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ
335.57 ล้านบาทเนื่องจากผลประกอบการขยายตัวดีไม่ต่างจากครึ่งปีแรกนัก
ทั้งนี้ มั่นใจว่าทั้งปีจะมีรายได้ 6.9 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 6,239.12
ล้านบาทเนื่องจากธุรกิจโรงแรมและอาหารยังขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจ
อาหาร โดยเฉพาะ เคเอฟซี อานท์ตี้แอนด์และมิสเตอร์โดนัท จำนวน 4.2 - 4.3 พันล้านบาท และ
รายได้จากธุรกิจโรงแรมโดยเฉพาะที่สมุย หัวหิน หาดใหญ่ ภูเก็ต และกรุงเทพฯ จำนวน 2.6 -
2.7 พันล้านบาท ฉะนั้นรายได้ทั้งปีน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
'ตามปกติช่วงไตรมาส 1 และไตรมาส 4 จะเป็น High Season ของธุรกิจโดยรายได้จาก
ทั้งอาหารและโรงแรมที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆฉะนั้นผลงานครึ่งหลังนี้ก็น่าสูสีกับครึ่งปีแรก ส่วนทั้งปี
เราวางเป้ารายได้ไว้ที่ 7 พันล้านบาท ซึ่งหากเป็นแบบ Conservativeก็ 6.9 พันล้านบาท และมั่น
ใจว่าทั้งปีเป็นไปตามเป้าได้' นายรณชิต กล่าว
นายรณชิต กล่าวว่า บริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มทุนล็อตใหม่ มูลค่า 1 พันล้านบาทเพื่อเสนอขาย
ให้กับประชาชนทั่วไป (PO) หลังจากก่อนหน้านี้ได้เพิ่มทุนไปแล้ว720 ล้านบาท โดยในเดือน
สิงหาคมที่ผ่านมาได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล(ไฟลิ่ง) ไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก
ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าก.ล.ต.จะอนุมัติและพร้อมเปิด
ขายหุ้นเพิ่มทุนได้ประมาณไตรมาส 4/2549โดยบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้สร้าง
โรงแรมแห่งใหม่ซึ่งหลังจากการเพิ่มทุนรอบนี้จะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 1.2
เท่า จาก 1.5 เท่าปัจจุบัน
' D/E น่าจะลดลงได้ ขณะที่ Gross Margin ก็น่าดีขึ้นโดยมั่นใจว่าสามารถรักษา Gross
Margin ทั้ง ปีอยู่ที่ 10% ทรงตัวจากปีก่อนหลังบริหารต้นทุนดีอย่างต่อเนื่องท่ามกลางภาวะ
เศรษฐกิตที่ชะลอตัว' นายรณชิตกล่าว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรม 3 แห่ง มูลค่ารวมกว่า1 หมื่นล้าน
บาท ประกอบด้วย โรงแรมเซ็นทรัล เวิล์ด คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 2/2551 โรงแรม
เซ็นทรัล มิราจ วงศ์อมาตย์ คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จไตรมาส4/2551 และเซ็นทรัล ภูเก็ต คาดว่า
จะสร้างแล้วเสร็จ ปี 2552ซึ่งหลังจากสร้าโรงแรมดังกล่าวได้หมดตามแผนจะหนุนให้รายได้ของ
บริษัทฯเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่และน่ามีนักท่องเที่ยวเข้าพักจำนวน
มาก โดยหลังจากสร้างโรงแรมแล้วเสร็จสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเพิ่มขึ้นจาก 40% ใน
ปัจจุบันเหลือ 50% ในปี2552 ขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจอาหารจะลดลงเหลือ 50% จาก 60%
ในปัจจุบัน
ส่วนสำหรับการเปิดสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 28 กันยายนนี้บริษัทฯจะได้ผลดีตามไปด้วย
เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้สนามบินดังกล่าวน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวอยู่พอสมควร
ซึ่งการที่บริษัทฯมีโรงแรมกระจายอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ อาทิ ภูเก็ต หัวหิน หาดใหญ่
พัทยา รวมถึงกรุงเทพฯ ก็น่าจะทำให้มีปริมาณนักท่องเที่ยวเลือกเข้าพักในโรงแรมเพิ่มมากขึ้น
สำหรับพาร์ทเนอร์ที่เข้ามาร่วมธุรกิจขณะนี้ก็มีพาร์ทเนอร์เข้ามาเจรจาทั้งไทยและต่าง
ประเทศแต่บริษัทฯยังไม่ได้สรุปพาร์ทเนอร์รายใดเป็นพิเศษขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดกว้างรับ
พาร์ทเนอร์ใหม่ๆที่เตรียมเข้ามาเจรจาต่อเนื่องทั้งนี้ พาร์ทเนอร์ที่จะมาร่วมธุรกิจอาจไม่จำเป็น
ต้องประกอบธุรกิจโรงแรมหรืออาหารเช่นเดียวกับบริษัทฯก็ได้แต่พาร์ทเนอร์น่าจะมาสนับสนุนใน
เรื่องฐานะทางการเงินและความเชี่ยวชาญธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นพิเศษเพื่อมาสานต่อธุรกิจของ
บริษัทฯให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายรณชิต กล่าวด้วยว่า ราคาหุ้น CENTELบนกระดานช่วงนี้มักเคลื่อนไหวขึ้นลงตามภาวะ
ตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทฯยืนยันทำหน้าที่ผู้บริหารให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ผู้ถือหุ้นซึ่งเชื่อว่าหาก
ผลประกอบการดีในที่สุดจะสะท้อนกับราคาหุ้นเอง
'ภาวะตลาดเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหมดแต่หากดูเฉพาะราคาหุ้น
เราจะพบว่าราคายังต่ำ เนื่องจากมี P/E เพียง 15 เท่าต่างจากคู่แข่งที่มี P/E อยู่ที่ประมาณ 22 -
23 เท่า' นายรณชิต กล่าว
สำหรับการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2549 บริษัทฯพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลให้ได้ตามนโยบาย
60% ของกำไรสุทธิ แต่ขณะนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าจะจ่ายปันผลได้สูงกว่าปีก่อนที่ 1.25บาท/หุ้น
ได้หรือไม่ เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมของคณะกรรมการโดยจะมีการประชุมในช่วงเดือน
มีนาคม 2550
เซ็นทรัลกระบี่ ว้าว ! ทะเลงามฟ้าครามใส
คอลัมน์ โฮเต็ลอัพเดต
โดย ชลิต กิติญาณทรัพย์
ที่นี้ละที่คุณจะได้สัมผัสยามนั่งบนระเบียงห้องพักของ เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ต รีสอร์ตหรูระดับ 5 ดาว ที่พักตากอากาศน้องใหม่ของค่ายเซ็นทรัล ซึ่งตั้งอยู่บน "อ่าวไผ่ปล้อง" ติดกับอ่าวนาง จ.กระบี่
อ่าวไผ่ปล้องเป็นอ่าวส่วนตัวที่โอบล้อมด้วยขุนเขาสูงเสียดฟ้า หน้าผาชัน ของอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา อุทยานที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ไม้เขตร้อนชื้นหลากหลายพันธุ์ จากหน้าผาชันเป็นพื้นที่ลาดเชิงเขาไล่ระดับลงมา จดชายหาดทรายขาว ค่ายเซ็นทรัลได้บรรจงวางอาคารที่พักสูง 3 ชั้นลดหลั่นลงมา มีวิลล่าอยู่ติดทะเลแบบเดิน 20 ก้าวก็ถึงเกลียวคลื่น
พื้นที่ทั้งหมดของรีสอร์ตมีลักษณะเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ชายหาดทรายขาวโค้งทอดตัวยาวประมาณ 300 เมตร สถาปนิกวางอาคารโรงแรมทรงสี่เหลี่ยมทันสมัยตามแนวโค้งไล่ระดับขึ้นไปจนติดเขตอุทยาน ฉะนั้นห้องพักบางส่วนสามารถสัมผัส 2 บรรยากาศในเวลาเดียวกัน ด้านหน้าทะเลเขียวมรกต ด้านข้างและด้านหลังชื่นชมพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ที่หยั่งรากลงดินเชิงเขา บางส่วนแทรกตัวตามรอยแตกของชะง่อนหินของหน้าผาสูงชัน
พื้นราบด้านหน้าชายหาดเป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับไว้บริการแขกที่มาพักเป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาประยุกต์มาจากเรือนไทยภาคใต้ตอนล่าง ทรงหลังคาจั่วหรือแมและ แต่หน้าบันใส่กระจกใสกรอบอะลูมิเนียมซึ่งดูแล้วขัดๆ ยังไงชอบกล
เพราะเป็นอ่าวส่วนตัว รถยนต์นานาชนิดทั้งราคาแพงราคาถูกไม่สามารถแล่นไปจอดหน้าล็อบบี้เหมือนที่เห็นกันดาษดื่น เส้นทางคมนาคมเส้นเดียวเข้าออกรีสอร์ตต้องขึ้นเรือเร็วจากหาดนพรัตน์ธาราช่วงเวลาน้ำขึ้น ครั้นน้ำลง speedboat เข้าไม่ถึงนักท่องเที่ยวต้องเดินเลาะชายหาดจากอ่าวนางอ้อมเขามาที่รีสอร์ต ลองจินตนาการเป็นลูกค้าที่จะมาดื่มด่ำธรรมชาติ ต้องถอดรองเท้าเดินเท้าย่ำน้ำทะเลมาตามหาดทราย
พลันเมื่อเหยียบย่างเซ็นทรัลกระบี่เบย์ รีสอร์ต บรรยากาศความเป็นส่วนตัวได้วิ่งมาต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่นก่อนหน้าทีมงานต้อนรับที่มาพร้อมพวงมาลัยดอกไม้สดและผ้าเย็นหอมกรุ่นให้เช็ดเหงื่อ คณะของเราทยอยกันขึ้นมาออกันหน้าล็อบบี้เพื่อรอรับกุญแจห้องพัก ระหว่างรอนี้ผมเร้นกายเดินสำรวจ โดยเฉพาะบริเวณห้องสมุดของโรงแรมถูกจัดวางไว้ริมทางเดินระหว่างล็อบบี้กับห้องอาหารญี่ปุ่น ผนังห้องสมุดเปิดโล่งเมื่อคนเดินผ่านจะมีเสียงรบกวนสมาธินักอ่านโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะช่วงฤดูท่องเที่ยวเป็นช่วงเวลาปริมาณแขกเข้าพักมาก จะทำให้คุณค่าห้องสมุดถูกลดเกรดเหมือนห้องพักรอขึ้นเครื่องตามสนามบิน
เมื่อกล่าวถึงสิ่งอำนวยความสะดวก เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ตได้บรรจุไว้เพียบสมฐานะรีสอร์ตหรูระดับ 5 ดาว เพื่อเสริมแต่งโลกส่วนตัวให้สนุกสนานร่าเริงบันเทิงใจ และอิ่มอร่อยกับห้องอาหารหลากรสชาติ อาทิ ห้องอาหารนานาชาติ ห้องอาหารไทยและซีฟู้ด ห้องอาหารญี่ปุ่น บาร์แอนด์กริลล์ริมชายหาด ห้องดีปบลู ห้องแห่งความสนุกสุดเหวี่ยงจากเสียงดนตรียามค่ำคืนที่ให้ความเพลิดเพลินกับความงามของโลกใต้ทะเลจากอะควาเรียม
ด้านสันทนาการ ประกอบด้วย คิดส์รูม กีฬาทางน้ำ อาทิ เรือใบ กระดานโต้คลื่น พายเรือคยักเลาะชายเขา อีกทั้งสระว่ายน้ำริมทะเลขนาดมาตรฐาน 2 สระ อ่างน้ำวนจากุซซี่ ฟิตเนสสวีต เครื่องมือออกกำลังกายทุกสัดส่วนของร่างกายมีไว้บริการครบครัน รวมทั้งห้องสปาของเซ็นทาราสปาที่ให้บริการนวดแบบอโรมา และการบำบัดด้วยแผนไทยด้วยพนักงานที่ได้รับการฝึกอย่างชำนาญ ห้องอบไอน้ำและร้านบริการเสริมความงาม ห้องประชุมพร้อมอุปกรณ์ที่สามารถรองรับงานประชุมสัมมนาขนาดใหญ่และเล็ก
อย่างไรก็ตาม สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว อย่างแท้จริงของแขกผู้มาพักสมตามเจตนารมณ์ของเจ้าของ ฉบับต่อไปจะพาไปสัมผัสห้องพัก โลกส่วนตัวภายในอาณาจักรส่วนตัวของเซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ต
คอลัมน์ โฮเต็ลอัพเดต
โดย ชลิต กิติญาณทรัพย์
ที่นี้ละที่คุณจะได้สัมผัสยามนั่งบนระเบียงห้องพักของ เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ต รีสอร์ตหรูระดับ 5 ดาว ที่พักตากอากาศน้องใหม่ของค่ายเซ็นทรัล ซึ่งตั้งอยู่บน "อ่าวไผ่ปล้อง" ติดกับอ่าวนาง จ.กระบี่
อ่าวไผ่ปล้องเป็นอ่าวส่วนตัวที่โอบล้อมด้วยขุนเขาสูงเสียดฟ้า หน้าผาชัน ของอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา อุทยานที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ไม้เขตร้อนชื้นหลากหลายพันธุ์ จากหน้าผาชันเป็นพื้นที่ลาดเชิงเขาไล่ระดับลงมา จดชายหาดทรายขาว ค่ายเซ็นทรัลได้บรรจงวางอาคารที่พักสูง 3 ชั้นลดหลั่นลงมา มีวิลล่าอยู่ติดทะเลแบบเดิน 20 ก้าวก็ถึงเกลียวคลื่น
พื้นที่ทั้งหมดของรีสอร์ตมีลักษณะเหมือนพระจันทร์เสี้ยว ชายหาดทรายขาวโค้งทอดตัวยาวประมาณ 300 เมตร สถาปนิกวางอาคารโรงแรมทรงสี่เหลี่ยมทันสมัยตามแนวโค้งไล่ระดับขึ้นไปจนติดเขตอุทยาน ฉะนั้นห้องพักบางส่วนสามารถสัมผัส 2 บรรยากาศในเวลาเดียวกัน ด้านหน้าทะเลเขียวมรกต ด้านข้างและด้านหลังชื่นชมพันธุ์ไม้น้อยใหญ่ที่หยั่งรากลงดินเชิงเขา บางส่วนแทรกตัวตามรอยแตกของชะง่อนหินของหน้าผาสูงชัน
พื้นราบด้านหน้าชายหาดเป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับไว้บริการแขกที่มาพักเป็นอาคารชั้นเดียว หลังคาประยุกต์มาจากเรือนไทยภาคใต้ตอนล่าง ทรงหลังคาจั่วหรือแมและ แต่หน้าบันใส่กระจกใสกรอบอะลูมิเนียมซึ่งดูแล้วขัดๆ ยังไงชอบกล
เพราะเป็นอ่าวส่วนตัว รถยนต์นานาชนิดทั้งราคาแพงราคาถูกไม่สามารถแล่นไปจอดหน้าล็อบบี้เหมือนที่เห็นกันดาษดื่น เส้นทางคมนาคมเส้นเดียวเข้าออกรีสอร์ตต้องขึ้นเรือเร็วจากหาดนพรัตน์ธาราช่วงเวลาน้ำขึ้น ครั้นน้ำลง speedboat เข้าไม่ถึงนักท่องเที่ยวต้องเดินเลาะชายหาดจากอ่าวนางอ้อมเขามาที่รีสอร์ต ลองจินตนาการเป็นลูกค้าที่จะมาดื่มด่ำธรรมชาติ ต้องถอดรองเท้าเดินเท้าย่ำน้ำทะเลมาตามหาดทราย
พลันเมื่อเหยียบย่างเซ็นทรัลกระบี่เบย์ รีสอร์ต บรรยากาศความเป็นส่วนตัวได้วิ่งมาต้อนรับพวกเราอย่างอบอุ่นก่อนหน้าทีมงานต้อนรับที่มาพร้อมพวงมาลัยดอกไม้สดและผ้าเย็นหอมกรุ่นให้เช็ดเหงื่อ คณะของเราทยอยกันขึ้นมาออกันหน้าล็อบบี้เพื่อรอรับกุญแจห้องพัก ระหว่างรอนี้ผมเร้นกายเดินสำรวจ โดยเฉพาะบริเวณห้องสมุดของโรงแรมถูกจัดวางไว้ริมทางเดินระหว่างล็อบบี้กับห้องอาหารญี่ปุ่น ผนังห้องสมุดเปิดโล่งเมื่อคนเดินผ่านจะมีเสียงรบกวนสมาธินักอ่านโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะช่วงฤดูท่องเที่ยวเป็นช่วงเวลาปริมาณแขกเข้าพักมาก จะทำให้คุณค่าห้องสมุดถูกลดเกรดเหมือนห้องพักรอขึ้นเครื่องตามสนามบิน
เมื่อกล่าวถึงสิ่งอำนวยความสะดวก เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ตได้บรรจุไว้เพียบสมฐานะรีสอร์ตหรูระดับ 5 ดาว เพื่อเสริมแต่งโลกส่วนตัวให้สนุกสนานร่าเริงบันเทิงใจ และอิ่มอร่อยกับห้องอาหารหลากรสชาติ อาทิ ห้องอาหารนานาชาติ ห้องอาหารไทยและซีฟู้ด ห้องอาหารญี่ปุ่น บาร์แอนด์กริลล์ริมชายหาด ห้องดีปบลู ห้องแห่งความสนุกสุดเหวี่ยงจากเสียงดนตรียามค่ำคืนที่ให้ความเพลิดเพลินกับความงามของโลกใต้ทะเลจากอะควาเรียม
ด้านสันทนาการ ประกอบด้วย คิดส์รูม กีฬาทางน้ำ อาทิ เรือใบ กระดานโต้คลื่น พายเรือคยักเลาะชายเขา อีกทั้งสระว่ายน้ำริมทะเลขนาดมาตรฐาน 2 สระ อ่างน้ำวนจากุซซี่ ฟิตเนสสวีต เครื่องมือออกกำลังกายทุกสัดส่วนของร่างกายมีไว้บริการครบครัน รวมทั้งห้องสปาของเซ็นทาราสปาที่ให้บริการนวดแบบอโรมา และการบำบัดด้วยแผนไทยด้วยพนักงานที่ได้รับการฝึกอย่างชำนาญ ห้องอบไอน้ำและร้านบริการเสริมความงาม ห้องประชุมพร้อมอุปกรณ์ที่สามารถรองรับงานประชุมสัมมนาขนาดใหญ่และเล็ก
อย่างไรก็ตาม สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว อย่างแท้จริงของแขกผู้มาพักสมตามเจตนารมณ์ของเจ้าของ ฉบับต่อไปจะพาไปสัมผัสห้องพัก โลกส่วนตัวภายในอาณาจักรส่วนตัวของเซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ต
CENTEL ยันคลื่นยักษ์ไม่กระเทือนธุรกิจโรงแรม
เหตุทำเลที่ตั้งดีรอดพ้นภัยมรสุม
ผู้บริหาร CENTEL ยันคลื่นยักษ์พัดเข้าฝั่งพื้นที่ภาคใต้ไม่กระเทือนธุรกิจ
หลังโรงแรมส่วนใหญ่มีทำเลดีรอดพ้นมรสุมคาดผลงาน Q4/49 เจ๋งกว่า Q3/49 เหตุ
เป็น High Season ส่วนทั้งปีปั๊มรายได้เข้าเป้า 6.5-6.6 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้า
รายได้ปี 50 โต 20% อยู่ที่ 8 พันล้านบาท หลังธุรกิจอาหารและโรงแรมยอดขายกระฉูด
โดยเตรียมงบลงทุนปี 50 ไว้ 3.5 - 3.6 พันล้านบาทผุดโรงแรมใหม่ ปรับปรุงโรงแรมเดิม
และขยายสาขาร้านอาหาร
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท โรงแรม
เซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีเกิด
คลื่นยักษ์ในแถบพื้นที่จังหวัดภาคใต้ใกล้ชายฝั่งทะเลจนเกิดความเสียหายในพื้นที่โดยรอบว่า
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ แม้ว่าจะมีโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งเปิดให้
บริการในละแวกนั้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่อยู่บนเนินเขาห่างไกลจากชายฝั่งพอสมควร อีก
ทั้งยังมีภูเขาล้อมรอบ ทำให้เป็นตัวกันแรงปะทะที่เกิดจากคลื่นยักษ์ได้
'ที่หาดใหญ่อยู่ในตัวเมืองเลยไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนที่สมุยแม้อยู่หาดเฉวง แต่ภูเขา
ล้อมและอยู่บนเนิน เรียกได้ว่าเราโชคดีที่ทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่ดี ไม่ได้รับผลกระทบ' นายรณชิต
กล่าว
ด้านผลประกอบการไตรมาส 4/2549 มีแนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาส 3/2549 เนื่องจาก
เป็น High Season ของธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะที่ภูเก็ต และกรุงเทพฯ หลังจากมีนักท่อง
เที่ยวจำนวนมากเข้าจองพักจากช่วงเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่
ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้ทั้งปี 2549 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีรายได้ 6.5 -
6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 6,239.12 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จาก
ธุรกิจอาหารเป็นหลัก 60% หรือประมาณ 4 พันล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรมสัดส่วน
40% หรือประมาณ 2.5 - 2.6 พันล้านบาท
ส่วนปี 2550 ตั้งเป้ามีรายได้อยู่ที่ 8 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีนี้ที่คาดว่ามีราย
ได้ 6.5 - 6.6 พันล้านบาท เนื่องจากธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง
จนดันให้รายได้เพิ่มมากขึ้น โดยรายได้ดังกล่าวมาจากธุรกิจอาหาร 4.5 พันล้านบาท และธุรกิจ
โรงแรม 3.5 พันล้านบาท ซึ่งจากการที่บริษัทฯเข้าไปซื้อกิจการโรงแรม 2 แห่งในปีนี้ ประกอบ
ด้วย กะรนบีช รีสอร์ท และกะตะบีช รีสอร์ท ทำให้สร้างรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯวางงบลงทุนปี 2550 อยู่ที่ 3.5 - 3.6 พันล้านบาท เป็นการลง
ทุนในโรงแรมและรีสอร์ทแห่งใหม่ 3 โครงการ ประมาณ 3.1 พันล้านบาท ปรับปรุงโรงแรมและ
รีสอร์ทให้ทันสมัยมากขึ้น 150 ล้านบาทและลงทุนในการขยายร้านอาหาร 350 ล้านบาท
'ปีหน้าเราวางงบลงทุนไว้ 3.5 - 3.6 พันล้านบาท หลักๆเป็นการลงทุนในโรงแรม โดย
เปิดใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลกระบี่, เซ็นทรัลภูเก็ต, เซ็นทรัลสมุย และปรับปรุงใหม่เพื่ออัพ
เกรดปรับราคาเพิ่ม ได้แก่สมุยบีช , กะรน, สมุยวิลเลจ' นายรณชิต กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (PO) จำนวน 170 ล้าน
หุ้น ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยช่วงที่ผ่านมาได้ไป
นำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงในประเทศรับทราบ ซึ่งถือว่ามีกระแส
ตอบรับค่อนข้างดีมากและน่าพอใจ
ทั้งนี้ ในช่วงกลางเดือนหรือปลายเดือนมกราคม 2550 เตรียมพิจารณานำหุ้น PO ดัง
กล่าวออกขาย ซึ่งหากภาวะตลาดฯโดยรวมเอื้ออำนวยก็พร้อมจะออกขายหุ้น PO ได้ทันที แต่หาก
ภาวะตลาดฯไม่เอื้ออำนวยอาจต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ก็ไม่เกินเดือนเมษายน 2550 ต้องออก
ขายแน่นอน ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนขยายกิจการต่อไป
'ราคาหุ้นที่กำหนดขายขึ้นอยู่กับตลาดฯขณะนั้น ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินได้คำนวณไว้
แล้ว แต่รอความพร้อมของการออกขายอีกครั้ง'นายรณชิต กล่าว
เหตุทำเลที่ตั้งดีรอดพ้นภัยมรสุม
ผู้บริหาร CENTEL ยันคลื่นยักษ์พัดเข้าฝั่งพื้นที่ภาคใต้ไม่กระเทือนธุรกิจ
หลังโรงแรมส่วนใหญ่มีทำเลดีรอดพ้นมรสุมคาดผลงาน Q4/49 เจ๋งกว่า Q3/49 เหตุ
เป็น High Season ส่วนทั้งปีปั๊มรายได้เข้าเป้า 6.5-6.6 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้า
รายได้ปี 50 โต 20% อยู่ที่ 8 พันล้านบาท หลังธุรกิจอาหารและโรงแรมยอดขายกระฉูด
โดยเตรียมงบลงทุนปี 50 ไว้ 3.5 - 3.6 พันล้านบาทผุดโรงแรมใหม่ ปรับปรุงโรงแรมเดิม
และขยายสาขาร้านอาหาร
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท โรงแรม
เซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวกับ eFinanceThai.com ถึงกรณีเกิด
คลื่นยักษ์ในแถบพื้นที่จังหวัดภาคใต้ใกล้ชายฝั่งทะเลจนเกิดความเสียหายในพื้นที่โดยรอบว่า
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ แม้ว่าจะมีโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งเปิดให้
บริการในละแวกนั้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่อยู่บนเนินเขาห่างไกลจากชายฝั่งพอสมควร อีก
ทั้งยังมีภูเขาล้อมรอบ ทำให้เป็นตัวกันแรงปะทะที่เกิดจากคลื่นยักษ์ได้
'ที่หาดใหญ่อยู่ในตัวเมืองเลยไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนที่สมุยแม้อยู่หาดเฉวง แต่ภูเขา
ล้อมและอยู่บนเนิน เรียกได้ว่าเราโชคดีที่ทำเลที่ตั้งส่วนใหญ่ดี ไม่ได้รับผลกระทบ' นายรณชิต
กล่าว
ด้านผลประกอบการไตรมาส 4/2549 มีแนวโน้มดีขึ้นจากไตรมาส 3/2549 เนื่องจาก
เป็น High Season ของธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะที่ภูเก็ต และกรุงเทพฯ หลังจากมีนักท่อง
เที่ยวจำนวนมากเข้าจองพักจากช่วงเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่
ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้ทั้งปี 2549 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีรายได้ 6.5 -
6.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 6,239.12 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จาก
ธุรกิจอาหารเป็นหลัก 60% หรือประมาณ 4 พันล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรมสัดส่วน
40% หรือประมาณ 2.5 - 2.6 พันล้านบาท
ส่วนปี 2550 ตั้งเป้ามีรายได้อยู่ที่ 8 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปีนี้ที่คาดว่ามีราย
ได้ 6.5 - 6.6 พันล้านบาท เนื่องจากธุรกิจอาหารและธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง
จนดันให้รายได้เพิ่มมากขึ้น โดยรายได้ดังกล่าวมาจากธุรกิจอาหาร 4.5 พันล้านบาท และธุรกิจ
โรงแรม 3.5 พันล้านบาท ซึ่งจากการที่บริษัทฯเข้าไปซื้อกิจการโรงแรม 2 แห่งในปีนี้ ประกอบ
ด้วย กะรนบีช รีสอร์ท และกะตะบีช รีสอร์ท ทำให้สร้างรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯวางงบลงทุนปี 2550 อยู่ที่ 3.5 - 3.6 พันล้านบาท เป็นการลง
ทุนในโรงแรมและรีสอร์ทแห่งใหม่ 3 โครงการ ประมาณ 3.1 พันล้านบาท ปรับปรุงโรงแรมและ
รีสอร์ทให้ทันสมัยมากขึ้น 150 ล้านบาทและลงทุนในการขยายร้านอาหาร 350 ล้านบาท
'ปีหน้าเราวางงบลงทุนไว้ 3.5 - 3.6 พันล้านบาท หลักๆเป็นการลงทุนในโรงแรม โดย
เปิดใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ เซ็นทรัลกระบี่, เซ็นทรัลภูเก็ต, เซ็นทรัลสมุย และปรับปรุงใหม่เพื่ออัพ
เกรดปรับราคาเพิ่ม ได้แก่สมุยบีช , กะรน, สมุยวิลเลจ' นายรณชิต กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (PO) จำนวน 170 ล้าน
หุ้น ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยช่วงที่ผ่านมาได้ไป
นำเสนอข้อมูลให้นักลงทุนประเทศฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงในประเทศรับทราบ ซึ่งถือว่ามีกระแส
ตอบรับค่อนข้างดีมากและน่าพอใจ
ทั้งนี้ ในช่วงกลางเดือนหรือปลายเดือนมกราคม 2550 เตรียมพิจารณานำหุ้น PO ดัง
กล่าวออกขาย ซึ่งหากภาวะตลาดฯโดยรวมเอื้ออำนวยก็พร้อมจะออกขายหุ้น PO ได้ทันที แต่หาก
ภาวะตลาดฯไม่เอื้ออำนวยอาจต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ก็ไม่เกินเดือนเมษายน 2550 ต้องออก
ขายแน่นอน ซึ่งเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนขยายกิจการต่อไป
'ราคาหุ้นที่กำหนดขายขึ้นอยู่กับตลาดฯขณะนั้น ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินได้คำนวณไว้
แล้ว แต่รอความพร้อมของการออกขายอีกครั้ง'นายรณชิต กล่าว
บล.ซิกโก้ : CENTEL แนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 8.30 บาท
กำไรสุทธิลดลงทั้ง YoY และ QoQ จากสถานการณ์ทางการเมือง :
CENTEL ป ระกาศผลป ระกอบ การ 3Q06 มี กำ ไรสุท ธิ 16 ลบ. ลดลง
91%YoY และ 88%QoQ โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
จากการเปิด 3 โรงแรมใหม่ รายได้ที่เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากปัญหา
ความไม่สงบภายในประเทศ โดยมีรายได้รวม 1,539 ลบ. เพิ่มขึ้น 2%YoY แต่
ลดลง 11%QoQ ผลประกอบการ 9M06 จึงมีกำ ไรสุทธิ 350 ลบ. ลดลง
22%YoY จากรายได้รวม 4,970 ลบ. ลดลง 22%YoY
รายได้ค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 6%YoY : ธุรกิจโรงแรมมีรายได้ค่าห้องพัก
583 ลบ. เพิ่มขึ้น 6%YoY โดยถึงแม้ว่าอัตราการเข้าพักจะลดลงจากปัญหา
การเมืองแต่ก็ได้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้นของโรงแรมในเครือ เข้ามาชดเชย
ขณะที่การเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 3 แห่งคือ เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ท
เซ็นทรัลกะตะรีสอร์ท และเซ็นทรัลกะรนบีชรีสอร์ท เป็นอีกปัจจัยสนับสนุน
การขยายตัวเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบ QoQ รายได้จะลดลง 1%
ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล
รายได้ธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น 2%YoY : ธุรกิจอาหารมีรายได้ 1,178 ลบ.
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2%YoY แต่ลดลง 12%QoQ จากปัจจัยทางการเมือง ซึ่งทำให้
ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่โดยรวมก็ยังถือว่าดีอยู่ โดย 9M06A
มีรายได้รวม 3,110 ลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY โดยแบรนด์ที่เติบโตมากที่สุดคือ
Mister Donut , Auntie Annes และ KFC ตามลำดับ โดยเติบโตจากการขยาย
สาขาที่มากขึ้น และการใช้ concept ร้านแบบ Microkitchen
กำไรปกติลดลง 75%YoY และ 61%QoQ : เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
จากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นของโรงแรมใหม่ทั้ง 3แห่งและค่าใช้จ่ายจากการใช้
concept ร้านแบบ microkitchen รวมถึงค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วน
โรงแรมและอาหารอีกด้วย จึงส่งผลให้กำไรหลังค่าเสื่อมราคา (EBIT) ลดลง
49%YoY และ 45%QoQ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
จากการกู้เงินมาเพื่อลงทุนเพิ่มเติมในกิจการโรงแรมในปีนี้ จึงเป็นตัวกดดันให้
กำไรปกติลดลงค่อนข้างมาก โดยมีกำไรปกติในไตรมาสนี้ 39 ลบ. ลดลง
75%YoY และ 61%QoQ
SSEC ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ CENTEL : SSEC ยังคงมีมุมมองเชิง
บวกต่อ CENTEL อยู่ในระยะยาว ถึงแม้ว่าไตรมาสนี้ผลประกอบการที่ออกมา
ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่ก็เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยตามฤดูกาล
ดังนั้นเราคาดว่าในไตรมาส 4 ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นเนื่องจากเป็นช่วง
High Season โดยเรายังคงประมาณการรายได้รวมที่ 6,738 ลบ. เพิ่มขึ้น
10%YoY แต่ปรับลดกำไรสุทธิลงเหลือ 475 ลบ. ลดลง 11%YoY จากค่าใช้
จ่ายที่เพิ่มขึ้นและกำไรสุทธิที่ลดลงมากใน Q3/06
แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 8.30 บาท : เราประเมินมูลค่าเหมาะสม
ที่ 8.00 บาท โดยวิธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) (WACC 8.06%) คิดเป็น
Prospective PER ที่ 23.6 เท่า ซึ่ง ณ ราคาปัจจุบันมี Upside อยู่ 16% และ
คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลที่ระดับผลตอบแทน 2.1% จึงแนะนำ ซื้อ
CENTEL
บล.เอเซียพลัส : CENTEL แนะนำ ซื้อ Fair value 8.02 บาท
ผู้บริหาร เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป
(PO) จำนวน 170 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) คาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณ ม.ค.2550 เบื้องต้นจะเสนอ
ขายต่อนักลงทุนต่างชาติ 50% และนักลงทุนสถาบัน รวมถึงรายย่อยในประเทศ 50% จากการ
ขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ เมื่อรวมกับของเดิมที่ขายไปก่อนหน้า จะทำให้บริษัทได้เงินระดมทุนจาก
การเพิ่มทุนทั้งหมด 680.8 ล้านหุ้น ราว 2 พันล้านบาท สำหรับแผนปี 2550 คาดว่าจะมีรายได้
รวมเพิ่มขึ้น 20% จากเป้าหมายรายได้รวมปี 2549 ที่ 6.7 พันล้านบาท ขณะเดียวกันมีแผนที่จะ
เปิดตัวธุรกิจอาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์ นอกจากนี้อยู่ระหว่างการเจรจารับบริหารโรงแรมเพิ่มขึ้น
อีก 6 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 3 แห่งและต่างประเทศอีก 3 แห่ง
การเพิ่มทุน PO เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มทุน 680.8 ล้านหุ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการ
เพิ่มทุน RO จำนวน 450 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และ ได้รับเงินเพิ่ม
ทุน 720 ล้านบาท ขณะที่การเพิ่มทุนแบบ PO ซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2550 คาดว่าจะระดมทุน
ได้ 1 พันล้านบาท ประกอบกับการออก warrant ภายหลังเสร็จสิ้น RO และ PO อีกจำนวน 60.8
ล้านหน่วย (Conversion Ratio 1:1) คาดว่าจะได้รับเงิน 300 ล้านบาท โดยรวมจะทำให้ระดม
ทุนได้ทั้งหมด 2 พันล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวที่ถูกใช้ในการขยายโรงแรมใหญ่ 3 แห่ง ใน
กรุงเทพ พัทยา และภูเก็ต ที่จะเปิดบริการช่วงปี 2551-2552 สำหรับภาพรวม 4Q49 ที่ได้รับ
ประโยชน์จากช่วง High Season / การจัดงานพืชสวนโลก รวมถึงการเริ่มเปิดดำเนินงานของ
โรงแรมใหม่ น่าจะทำให้ผลประกอบการเติบโตมากขึ้นจาก 3Q49 ขณะที่ปี 2550 ซึ่งจะมีการรับ
รู้รายได้เต็มปีของโรงแรมใหม่ทั้ง 3 แห่งที่เปิดในช่วงปี 2549 น่าจะผลักดันให้ Norm Profit
เติบโตดีขึ้น 27% อย่างไรก็ตามผลจากการเพิ่มทุนจะส่งผล Dilution Effect ต่อ Norm EPS
ให้ลดลง 10%
กำไรสุทธิลดลงทั้ง YoY และ QoQ จากสถานการณ์ทางการเมือง :
CENTEL ป ระกาศผลป ระกอบ การ 3Q06 มี กำ ไรสุท ธิ 16 ลบ. ลดลง
91%YoY และ 88%QoQ โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
จากการเปิด 3 โรงแรมใหม่ รายได้ที่เติบโตขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากปัญหา
ความไม่สงบภายในประเทศ โดยมีรายได้รวม 1,539 ลบ. เพิ่มขึ้น 2%YoY แต่
ลดลง 11%QoQ ผลประกอบการ 9M06 จึงมีกำ ไรสุทธิ 350 ลบ. ลดลง
22%YoY จากรายได้รวม 4,970 ลบ. ลดลง 22%YoY
รายได้ค่าห้องพักเพิ่มขึ้น 6%YoY : ธุรกิจโรงแรมมีรายได้ค่าห้องพัก
583 ลบ. เพิ่มขึ้น 6%YoY โดยถึงแม้ว่าอัตราการเข้าพักจะลดลงจากปัญหา
การเมืองแต่ก็ได้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่สูงขึ้นของโรงแรมในเครือ เข้ามาชดเชย
ขณะที่การเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 3 แห่งคือ เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ท
เซ็นทรัลกะตะรีสอร์ท และเซ็นทรัลกะรนบีชรีสอร์ท เป็นอีกปัจจัยสนับสนุน
การขยายตัวเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบ QoQ รายได้จะลดลง 1%
ซึ่งเป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล
รายได้ธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น 2%YoY : ธุรกิจอาหารมีรายได้ 1,178 ลบ.
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2%YoY แต่ลดลง 12%QoQ จากปัจจัยทางการเมือง ซึ่งทำให้
ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่โดยรวมก็ยังถือว่าดีอยู่ โดย 9M06A
มีรายได้รวม 3,110 ลบ. เพิ่มขึ้น 10%YoY โดยแบรนด์ที่เติบโตมากที่สุดคือ
Mister Donut , Auntie Annes และ KFC ตามลำดับ โดยเติบโตจากการขยาย
สาขาที่มากขึ้น และการใช้ concept ร้านแบบ Microkitchen
กำไรปกติลดลง 75%YoY และ 61%QoQ : เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
จากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นของโรงแรมใหม่ทั้ง 3แห่งและค่าใช้จ่ายจากการใช้
concept ร้านแบบ microkitchen รวมถึงค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วน
โรงแรมและอาหารอีกด้วย จึงส่งผลให้กำไรหลังค่าเสื่อมราคา (EBIT) ลดลง
49%YoY และ 45%QoQ ขณะเดียวกันบริษัทยังมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
จากการกู้เงินมาเพื่อลงทุนเพิ่มเติมในกิจการโรงแรมในปีนี้ จึงเป็นตัวกดดันให้
กำไรปกติลดลงค่อนข้างมาก โดยมีกำไรปกติในไตรมาสนี้ 39 ลบ. ลดลง
75%YoY และ 61%QoQ
SSEC ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ CENTEL : SSEC ยังคงมีมุมมองเชิง
บวกต่อ CENTEL อยู่ในระยะยาว ถึงแม้ว่าไตรมาสนี้ผลประกอบการที่ออกมา
ค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่ก็เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยตามฤดูกาล
ดังนั้นเราคาดว่าในไตรมาส 4 ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นเนื่องจากเป็นช่วง
High Season โดยเรายังคงประมาณการรายได้รวมที่ 6,738 ลบ. เพิ่มขึ้น
10%YoY แต่ปรับลดกำไรสุทธิลงเหลือ 475 ลบ. ลดลง 11%YoY จากค่าใช้
จ่ายที่เพิ่มขึ้นและกำไรสุทธิที่ลดลงมากใน Q3/06
แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 8.30 บาท : เราประเมินมูลค่าเหมาะสม
ที่ 8.00 บาท โดยวิธีส่วนลดกระแสเงินสด (DCF) (WACC 8.06%) คิดเป็น
Prospective PER ที่ 23.6 เท่า ซึ่ง ณ ราคาปัจจุบันมี Upside อยู่ 16% และ
คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลที่ระดับผลตอบแทน 2.1% จึงแนะนำ ซื้อ
CENTEL
บล.เอเซียพลัส : CENTEL แนะนำ ซื้อ Fair value 8.02 บาท
ผู้บริหาร เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป
(PO) จำนวน 170 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) คาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณ ม.ค.2550 เบื้องต้นจะเสนอ
ขายต่อนักลงทุนต่างชาติ 50% และนักลงทุนสถาบัน รวมถึงรายย่อยในประเทศ 50% จากการ
ขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ เมื่อรวมกับของเดิมที่ขายไปก่อนหน้า จะทำให้บริษัทได้เงินระดมทุนจาก
การเพิ่มทุนทั้งหมด 680.8 ล้านหุ้น ราว 2 พันล้านบาท สำหรับแผนปี 2550 คาดว่าจะมีรายได้
รวมเพิ่มขึ้น 20% จากเป้าหมายรายได้รวมปี 2549 ที่ 6.7 พันล้านบาท ขณะเดียวกันมีแผนที่จะ
เปิดตัวธุรกิจอาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์ นอกจากนี้อยู่ระหว่างการเจรจารับบริหารโรงแรมเพิ่มขึ้น
อีก 6 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 3 แห่งและต่างประเทศอีก 3 แห่ง
การเพิ่มทุน PO เป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มทุน 680.8 ล้านหุ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการ
เพิ่มทุน RO จำนวน 450 ล้านหุ้น (พาร์ 1 บาท) ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา และ ได้รับเงินเพิ่ม
ทุน 720 ล้านบาท ขณะที่การเพิ่มทุนแบบ PO ซึ่งจะเกิดขึ้นช่วงต้นปี 2550 คาดว่าจะระดมทุน
ได้ 1 พันล้านบาท ประกอบกับการออก warrant ภายหลังเสร็จสิ้น RO และ PO อีกจำนวน 60.8
ล้านหน่วย (Conversion Ratio 1:1) คาดว่าจะได้รับเงิน 300 ล้านบาท โดยรวมจะทำให้ระดม
ทุนได้ทั้งหมด 2 พันล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวที่ถูกใช้ในการขยายโรงแรมใหญ่ 3 แห่ง ใน
กรุงเทพ พัทยา และภูเก็ต ที่จะเปิดบริการช่วงปี 2551-2552 สำหรับภาพรวม 4Q49 ที่ได้รับ
ประโยชน์จากช่วง High Season / การจัดงานพืชสวนโลก รวมถึงการเริ่มเปิดดำเนินงานของ
โรงแรมใหม่ น่าจะทำให้ผลประกอบการเติบโตมากขึ้นจาก 3Q49 ขณะที่ปี 2550 ซึ่งจะมีการรับ
รู้รายได้เต็มปีของโรงแรมใหม่ทั้ง 3 แห่งที่เปิดในช่วงปี 2549 น่าจะผลักดันให้ Norm Profit
เติบโตดีขึ้น 27% อย่างไรก็ตามผลจากการเพิ่มทุนจะส่งผล Dilution Effect ต่อ Norm EPS
ให้ลดลง 10%
*INTERVIEW: CENTEL ลุ้นขายหุ้น PO ทันสิ้นปีนี้-เตรียมแผนสำรอง/คาดปี 50รายได้โต 15%
Source - IQ Biz
Thursday, 19 April 2007 11:30
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา(CENTEL)คาดขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป(PO) ไม่ทันกลางปีนี้ตามที่กำหนด เพราะภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ แต่ยังมีเวลาจนถึงสิ้นปีนี้ หากยังออกขายไม่ได้ก็จะหันไปกู้เงินสถาบันการเงินแทน และบางส่วนอาจขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อนำไปใช้ลงทุนขยายโรงแรมตามแผนงาน
ขณะเดียวกันคาดว่าในปี 50 รายได้รวมจะเติบโตราว 15% มาอยู่ที่ 7.7-7.8 พันล้านบาท จาก 6.8 พันล้านบาทในปี 49 โดยเฉพาะรายได้ในส่วนธุรกิจโรงแรมในปีนี้จะขยายตัวมาก 15%จากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่เพิ่ม 3 แห่ง รวมกับการปรับขึ้นราคาค่าห้องพัก ส่วนธุรกิจด้านอาหารในปีนี้เติบโต 8-10% พร้อมมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนแน่ ส่วนหนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าโดยบริษัทหันมาทำสัญญารายรับเป็นเงินบาท
*รอลุ้นขายหุ้น PO จากนี้ถึงสิ้นปี
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL กล่าวว่า แม้ว่าจะมีสถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง และภาวะตลาดหุ้นยังไม่ค่อยดี แต่บริษัทก็ต้องดำเนินการตามแผนขายหุ้นเพิ่มทุน ที่คาดว่าจะระดมทุนได้มากกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนขยายโรงแรมแห่งใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเซ็นทรัลเวิลด์, โรงแรม ที่พัทยา และ หาดกะรน ที่จ.ภูเก็ต
"คืออย่างไรแผนเราก็ต้องออกหุ้นเพิ่มทุน เราดูได้ถึงสิ้นปี และยังมีแผนสำรอง โดยมี Thailand Equtiy Fund ซึ่งถือหุ้นเราอยู่ประมาณ เกือบ 10% ยินดีจะจองซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งก็ต้องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้น ถ้าเผื่อเหลือเผื่อขาด ไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่ยังไม่แน่นอน ต้องให้คณะกรรมการพิจารณาให้นำหุ้นในส่วนหุ้นเพิ่มทุน(PO) ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมบางส่วนหรือไม่ นี่คือแผนหนึ่ง" นายรณชิต กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ CENTEL มีแผนขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (PO) จำนวน 170 ล้านหุ้น เมื่อต้นปี 50 และได้เลื่อนมากลางปีนี้ หลังจากที่ได้โรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศเมื่อปลายปี 49
ขณะเดียวกันบริษัทก็เตรียมแผนสำรอง คือ จะนำเงินที่ได้จากกลุ่มนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในกลุ่มโรงแรมเจรจาเข้าซื้อหุ้นในบริษัทลูกที่ CENTEL ถือเต็ม 100% โดยคาดว่าจะขายหุ้นให้ในสัดส่วน 40% หากเจรจาสำเร็จก็จะได้เงินประมาณ 1.4 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี นายรณชิต ยอมรับว่า สภาวะตลาดยังไม่ดี และราคาหุ้น CENTEL ก็ยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน และยิ่งมีเรื่องการเมือง โดยเฉพาะความไม่สงบทางภาคใต้ที่สำนักข่าวต่างประเทศออกเผยแพร่บ่อยทำให้คนไม่กล้ามาลงทุน รวมไปถึงนโยบายเรื่องมาตรการ 30% แต่ถ้าภาวะตลาดกลับมาปกติก็อาจจะออกขายหุ้น PO กลางปีนี้ก็ได้
"คงใกล้ปลายปี ไตรมาส 3 ขึ้นไปก็ต้องเริ่มมาคุยกันแล้วว่า investor ที่จะเข้ามามีความเป็นไปได้ไหม ถ้าไม่ได้แล้วโครงการต่างๆที่เราก่อสร้างและจะเปิดตัว จำเป็นต้องใช้ cash flow ทั้งนั้น และเราก็ต้องรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) ซึ่งถึงตอนนั้นกรรมการก็ต้องมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไร" นายรณชิต กล่าว
หากแผนเพิ่มทุนเป็นไปตามที่คาดหมาย ก็จะทำให้ D/E ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า ภายในสิ้นปีนี้ จาก 1.4 เท่าในปี 49 แต่หากต้องกู้เงินแทนก็จะทำให้ D/E เพิ่มขึ้นเป็น 1.7 เท่า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทอาจหาทางออกให้ผู้ถือหุ้นเดิมเข้ามาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน(PO)ได้ ก็จะทำให้บริษัทมี D/E ไม่สูงมากนัก
ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินรวม 4.5 พันล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ 1 พันล้านบาท
สำหรับแผนขยายโรงแรม 3 แห่งนั้น จะเน้นลงทุนในโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ด โดยจะเปิดศูนย์ประชุม(convention hall)ก่อนในกลางปีนี้ และจะเปิดในส่วนโรงแรมในกลางปีหน้า ขณะที่โรงแรมที่พัทยาที่ได้ซื้อที่ดินที่เคยเป็นที่ตั้งโรงแรมวงศ์อำมาตย์ ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ทั้งสองโครงการจะใช้เงินลงทุนในปีหน้าประมาณ 3.8 พันล้านบาท ส่วนโรงแรมที่หาดกะรน จ.ภูเก็ตจะเริ่มลงฐานรากในปีหน้า
ปีนี้โหมโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ดก่อน แล้วปีหน้าเปิด พอเสร็จค่อยไปโหมโรงแรมที่พัทยา คิดว่าจะเปิดในปี 52 ในเดือนตุลาคมก็จะ เร่งสร้างในปี 51 นายรณชิตกล่าว
*คาดรายได้-EBITDA โตราว 15% ได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรม
นายรณชิต คาดว่า รายได้รวมปี 50 จะเติบโตเฉลี่ย 15% จากปีก่อนที่มีอัตราเติบโต 10% โดยปีนี้ได้ธุรกิจโรงแรมสนับสนุนให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้มาก โดยรายได้รวมปีนี้น่าจะเพิ่มเป็น 7.7-7.8 พันล้านบาท จาก 6.8 พันล้านบาท ในปี 49
ส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBITDA) ในปีนี้จะเติบโตทิศทางเดียวกับรายได้รวม ราว 15% จากปีก่อนที่มี 1,540 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ EBITDA เติบโตเพียง 3% และกำไรสุทธิ คาดจะดีกว่าปีก่อนที่มี 417.2 ล้านบาท
นายรณชิต กล่าวว่า รายได้จากธุรกิจโรงแรมในปี 50 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.3-3.4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.6 พันล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20% เนื่องจากการมีโรงแรมที่ให้บริการเพิ่มขึ้น 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ท ที่ จ.กระบี่ , โรงแรมเซ็นทรัลกะรนบีชรีสอร์ท จ.ภูเก็ต และ โรงแรมเซ็นทรัลกะตะรีสอร์ท ที่ จ.ภูเก็ตเช่นกัน
รวมทั้งคาดว่าปี 50 อัตราค่าห้องหักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 14-15% จาก 3,500 บาท/ห้อง/คืนในปี 49 และคาดปีนี้จะมีอัตราเข้าพักจะอยู่ที่ประมาณ 70% สูงจาก ปี 49 ที่อัตราอยู่ที่ 65-66%
"คิดว่าแถวต่างจังหวัดโดยเฉพาะภูเก็ต ลูกค้าทางสแกนดิเนเวีย และยุโรป เขากลับมาแถบอันดามันเยอะขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ดีในปีนี้ แต่การท่องเที่ยวกลับดี โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ส่วนเรื่องการวางระเบิดในกรุงเทพไม่ได้ส่งผลกระทบในต่างจังหวัด เพราะดูแล้วเป้าหมายไม่ใช่เรื่องลักษณะก่อการร้ายและคนต่างชาติก็ไม่ใช่เป้าหมายการโจมตี " นายรณชิต กล่าว
ขณะที่ รายได้จากธุรกิจอาหารคาดว่าปีนี้โตประมาณ 8-10% เป็น 4.3-4.4 พันล้านบาท จาก 4.1 พันล้านบาทในปีก่อน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการวางระเบิดในกรุงเทพ ทำให้คนเดินห้างน้อยลง แต่ขณะนี้เริ่มกลับมาปกติ เพียงแต่ประสบภาวะเศรษฐกิจไม่ดี การบริโภคของประชาชนก็ลดน้อยลง
ทั้งนี้ ปีนี้จะเพิ่มสาขา ประมาณ 20 สาขา มาที่ 475 สาขา จากสิ้นปี 49 ที่มีอยู่ทั้งหมด 456 สาขา โดยร้านอาหารในเครือ ได้แก่ KFC, มิสเตอร์โดนัท, Auntie Annes และ Pizza Hut
*รายได้รวมใน Q1/50 คาดสูงกว่า Q1/49 มาก
รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL คาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 1/50 โตประมาณ 10%กว่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจโรงแรม เพราะยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่น และรายได้จากอาหารก็ยังเติบโตดี
ทั้งนี้ใน ไตรมาส 1/49 CENTEL มีโรงแรมใหม่เพิ่มขึ้น 3 แห่ง ทำให้รายได้โรงแรมสูงขึ้น ขณะที่โรงแรมเดิมที่มีอยู่ได้แก่ ที่ หัวหิน ภูเก็ต และ สมุย ก็มีผู้เช้าพักมากที่สุด ส่วนโรงแรมที่กรุงเทพได้รับผลกระทบบ้าง
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค-ก.พ.) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 78% สูงขึ้นเล็กน้อยในช่วงเดียวกันที่มีอัตราเฉลี่ย 77% แต่อัตราค่าห้องพักใน 2 เดือนนี้สูงกว่าปีก่อน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4,980 บาท/ห้อง/วัน เทียบกับ ม.ค.-ก.พ. 49 อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 3,500 บาท/ห้อง/วัน
ทั้งนี้ เป็นผลจากการปรับราคาห้องขึ้นมา 5-10% และอีกส่วนมาจากมีโรงแรมใหม่เพิ่มขึ่นอัตราค่าเช่าพักก็มีอัตราสูง เช่นที่ หัวหิน , สมุย เป็นต้น
Source - IQ Biz
Thursday, 19 April 2007 11:30
บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา(CENTEL)คาดขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป(PO) ไม่ทันกลางปีนี้ตามที่กำหนด เพราะภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ แต่ยังมีเวลาจนถึงสิ้นปีนี้ หากยังออกขายไม่ได้ก็จะหันไปกู้เงินสถาบันการเงินแทน และบางส่วนอาจขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อนำไปใช้ลงทุนขยายโรงแรมตามแผนงาน
ขณะเดียวกันคาดว่าในปี 50 รายได้รวมจะเติบโตราว 15% มาอยู่ที่ 7.7-7.8 พันล้านบาท จาก 6.8 พันล้านบาทในปี 49 โดยเฉพาะรายได้ในส่วนธุรกิจโรงแรมในปีนี้จะขยายตัวมาก 15%จากการเปิดโรงแรมแห่งใหม่เพิ่ม 3 แห่ง รวมกับการปรับขึ้นราคาค่าห้องพัก ส่วนธุรกิจด้านอาหารในปีนี้เติบโต 8-10% พร้อมมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนแน่ ส่วนหนึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าโดยบริษัทหันมาทำสัญญารายรับเป็นเงินบาท
*รอลุ้นขายหุ้น PO จากนี้ถึงสิ้นปี
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL กล่าวว่า แม้ว่าจะมีสถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง และภาวะตลาดหุ้นยังไม่ค่อยดี แต่บริษัทก็ต้องดำเนินการตามแผนขายหุ้นเพิ่มทุน ที่คาดว่าจะระดมทุนได้มากกว่า 1 พันล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนขยายโรงแรมแห่งใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเซ็นทรัลเวิลด์, โรงแรม ที่พัทยา และ หาดกะรน ที่จ.ภูเก็ต
"คืออย่างไรแผนเราก็ต้องออกหุ้นเพิ่มทุน เราดูได้ถึงสิ้นปี และยังมีแผนสำรอง โดยมี Thailand Equtiy Fund ซึ่งถือหุ้นเราอยู่ประมาณ เกือบ 10% ยินดีจะจองซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งก็ต้องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้น ถ้าเผื่อเหลือเผื่อขาด ไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่ยังไม่แน่นอน ต้องให้คณะกรรมการพิจารณาให้นำหุ้นในส่วนหุ้นเพิ่มทุน(PO) ขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมบางส่วนหรือไม่ นี่คือแผนหนึ่ง" นายรณชิต กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ CENTEL มีแผนขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (PO) จำนวน 170 ล้านหุ้น เมื่อต้นปี 50 และได้เลื่อนมากลางปีนี้ หลังจากที่ได้โรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศเมื่อปลายปี 49
ขณะเดียวกันบริษัทก็เตรียมแผนสำรอง คือ จะนำเงินที่ได้จากกลุ่มนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในกลุ่มโรงแรมเจรจาเข้าซื้อหุ้นในบริษัทลูกที่ CENTEL ถือเต็ม 100% โดยคาดว่าจะขายหุ้นให้ในสัดส่วน 40% หากเจรจาสำเร็จก็จะได้เงินประมาณ 1.4 พันล้านบาท
อย่างไรก็ดี นายรณชิต ยอมรับว่า สภาวะตลาดยังไม่ดี และราคาหุ้น CENTEL ก็ยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน และยิ่งมีเรื่องการเมือง โดยเฉพาะความไม่สงบทางภาคใต้ที่สำนักข่าวต่างประเทศออกเผยแพร่บ่อยทำให้คนไม่กล้ามาลงทุน รวมไปถึงนโยบายเรื่องมาตรการ 30% แต่ถ้าภาวะตลาดกลับมาปกติก็อาจจะออกขายหุ้น PO กลางปีนี้ก็ได้
"คงใกล้ปลายปี ไตรมาส 3 ขึ้นไปก็ต้องเริ่มมาคุยกันแล้วว่า investor ที่จะเข้ามามีความเป็นไปได้ไหม ถ้าไม่ได้แล้วโครงการต่างๆที่เราก่อสร้างและจะเปิดตัว จำเป็นต้องใช้ cash flow ทั้งนั้น และเราก็ต้องรักษาอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) ซึ่งถึงตอนนั้นกรรมการก็ต้องมาพิจารณาว่าจะทำอย่างไร" นายรณชิต กล่าว
หากแผนเพิ่มทุนเป็นไปตามที่คาดหมาย ก็จะทำให้ D/E ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 1.5 เท่า ภายในสิ้นปีนี้ จาก 1.4 เท่าในปี 49 แต่หากต้องกู้เงินแทนก็จะทำให้ D/E เพิ่มขึ้นเป็น 1.7 เท่า อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทอาจหาทางออกให้ผู้ถือหุ้นเดิมเข้ามาจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน(PO)ได้ ก็จะทำให้บริษัทมี D/E ไม่สูงมากนัก
ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินรวม 4.5 พันล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ 1 พันล้านบาท
สำหรับแผนขยายโรงแรม 3 แห่งนั้น จะเน้นลงทุนในโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ด โดยจะเปิดศูนย์ประชุม(convention hall)ก่อนในกลางปีนี้ และจะเปิดในส่วนโรงแรมในกลางปีหน้า ขณะที่โรงแรมที่พัทยาที่ได้ซื้อที่ดินที่เคยเป็นที่ตั้งโรงแรมวงศ์อำมาตย์ ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว ทั้งสองโครงการจะใช้เงินลงทุนในปีหน้าประมาณ 3.8 พันล้านบาท ส่วนโรงแรมที่หาดกะรน จ.ภูเก็ตจะเริ่มลงฐานรากในปีหน้า
ปีนี้โหมโรงแรมเซ็นทรัลเวิล์ดก่อน แล้วปีหน้าเปิด พอเสร็จค่อยไปโหมโรงแรมที่พัทยา คิดว่าจะเปิดในปี 52 ในเดือนตุลาคมก็จะ เร่งสร้างในปี 51 นายรณชิตกล่าว
*คาดรายได้-EBITDA โตราว 15% ได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรม
นายรณชิต คาดว่า รายได้รวมปี 50 จะเติบโตเฉลี่ย 15% จากปีก่อนที่มีอัตราเติบโต 10% โดยปีนี้ได้ธุรกิจโรงแรมสนับสนุนให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้มาก โดยรายได้รวมปีนี้น่าจะเพิ่มเป็น 7.7-7.8 พันล้านบาท จาก 6.8 พันล้านบาท ในปี 49
ส่วนกำไรก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ (EBITDA) ในปีนี้จะเติบโตทิศทางเดียวกับรายได้รวม ราว 15% จากปีก่อนที่มี 1,540 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนที่ EBITDA เติบโตเพียง 3% และกำไรสุทธิ คาดจะดีกว่าปีก่อนที่มี 417.2 ล้านบาท
นายรณชิต กล่าวว่า รายได้จากธุรกิจโรงแรมในปี 50 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.3-3.4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.6 พันล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20% เนื่องจากการมีโรงแรมที่ให้บริการเพิ่มขึ้น 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ท ที่ จ.กระบี่ , โรงแรมเซ็นทรัลกะรนบีชรีสอร์ท จ.ภูเก็ต และ โรงแรมเซ็นทรัลกะตะรีสอร์ท ที่ จ.ภูเก็ตเช่นกัน
รวมทั้งคาดว่าปี 50 อัตราค่าห้องหักจะเพิ่มขึ้นประมาณ 14-15% จาก 3,500 บาท/ห้อง/คืนในปี 49 และคาดปีนี้จะมีอัตราเข้าพักจะอยู่ที่ประมาณ 70% สูงจาก ปี 49 ที่อัตราอยู่ที่ 65-66%
"คิดว่าแถวต่างจังหวัดโดยเฉพาะภูเก็ต ลูกค้าทางสแกนดิเนเวีย และยุโรป เขากลับมาแถบอันดามันเยอะขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ดีในปีนี้ แต่การท่องเที่ยวกลับดี โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ส่วนเรื่องการวางระเบิดในกรุงเทพไม่ได้ส่งผลกระทบในต่างจังหวัด เพราะดูแล้วเป้าหมายไม่ใช่เรื่องลักษณะก่อการร้ายและคนต่างชาติก็ไม่ใช่เป้าหมายการโจมตี " นายรณชิต กล่าว
ขณะที่ รายได้จากธุรกิจอาหารคาดว่าปีนี้โตประมาณ 8-10% เป็น 4.3-4.4 พันล้านบาท จาก 4.1 พันล้านบาทในปีก่อน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการวางระเบิดในกรุงเทพ ทำให้คนเดินห้างน้อยลง แต่ขณะนี้เริ่มกลับมาปกติ เพียงแต่ประสบภาวะเศรษฐกิจไม่ดี การบริโภคของประชาชนก็ลดน้อยลง
ทั้งนี้ ปีนี้จะเพิ่มสาขา ประมาณ 20 สาขา มาที่ 475 สาขา จากสิ้นปี 49 ที่มีอยู่ทั้งหมด 456 สาขา โดยร้านอาหารในเครือ ได้แก่ KFC, มิสเตอร์โดนัท, Auntie Annes และ Pizza Hut
*รายได้รวมใน Q1/50 คาดสูงกว่า Q1/49 มาก
รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหาร CENTEL คาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 1/50 โตประมาณ 10%กว่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจโรงแรม เพราะยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่น และรายได้จากอาหารก็ยังเติบโตดี
ทั้งนี้ใน ไตรมาส 1/49 CENTEL มีโรงแรมใหม่เพิ่มขึ้น 3 แห่ง ทำให้รายได้โรงแรมสูงขึ้น ขณะที่โรงแรมเดิมที่มีอยู่ได้แก่ ที่ หัวหิน ภูเก็ต และ สมุย ก็มีผู้เช้าพักมากที่สุด ส่วนโรงแรมที่กรุงเทพได้รับผลกระทบบ้าง
ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา(ม.ค-ก.พ.) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 78% สูงขึ้นเล็กน้อยในช่วงเดียวกันที่มีอัตราเฉลี่ย 77% แต่อัตราค่าห้องพักใน 2 เดือนนี้สูงกว่าปีก่อน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4,980 บาท/ห้อง/วัน เทียบกับ ม.ค.-ก.พ. 49 อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 3,500 บาท/ห้อง/วัน
ทั้งนี้ เป็นผลจากการปรับราคาห้องขึ้นมา 5-10% และอีกส่วนมาจากมีโรงแรมใหม่เพิ่มขึ่นอัตราค่าเช่าพักก็มีอัตราสูง เช่นที่ หัวหิน , สมุย เป็นต้น
พิสูจน์ฝีมือ"ซีอาร์จี" อานตี้แอนส์ลุยโกลบอล
ซีอาร์จีประกาศแผนโต 2 ทาง ทั้งลิขสิทธิ์จากแบรนด์ดังและพัฒนาแบรนด์ใหม่ของตัวเอง เล็งเปิดทางพันธมิตรร้านอานตี้แอนส์ในเวียดนามและจีนหลัง 9 ปี ในไทยประสบความสำเร็จด้วยอัตราโตสูงสุดในเอเชีย
เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือซีอาร์จี เจ้าของลิขสิทธิ์ร้านอาหารแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ประกอบด้วย มิสเตอร์โดนัท เคเอฟซี บาสกิ้นรอบบิ้น พิซซ่า ฮัท และอานตี้แอนส์
ภายใต้การบริหาร 5 แบรนด์ดังกล่าว ซีอาร์จีทำให้แบรนด์เหล่านี้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคไทย เช่น การผลักดันมิสเตอร์โดนัทให้ก้าวขึ้นสู่ที่หนึ่งของตลาดโดนัท หรืออานตี้แอนส์ประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเอเชีย หรืออัตราการเติบโตเป็นรองแค่ประเทศแม่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น
นอกจากการซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์จากต่างประเทศแล้ว ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซีอาร์จีพยายามใช้ศักยภาพของตัวเองพัฒนาแบรนด์ใหม่ นั่นคือ สเต๊กฮันเตอร์(Steak Hunter) แต่พบว่าไม่สามารถฝ่าด่านการแข่งขันในตลาดสเต๊กได้จนต้องยุติ และสเต๊กฮันเตอร์ออกจากตลาดไป ทำให้ร้านอาหารประเภทสเต๊ก "ซิซซ์เล่อร์" ยังคงครองตลาดเพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตามปีนี้ ซีอาร์จีประกาศจุดยืนในการปั้นแบรนด์ตัวเองอีกครั้ง เพื่อเป็นการสร้างรายได้สองทาง นั่นคือ จากแบรนด์ตัวเองและแบรนด์ที่ซื้อไลเซ่นจากต่างประเทศ
ประดิษฐ์ ภิญโญภาสกุล ผู้ช่วยกรรมการบริการอาวุโส บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บอกถึง แนวทางการสร้างอัตราการเติบโตของซีอาร์จีในแบรนด์ที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศโดยเฉพาะขนมเพรทเซล อานตี้แอนส์(Auntie Anne's) ว่า หลังจากที่ซีอาร์จีบริหารมาแล้ว 9 ปีและมีอัตราการเติบโตมากที่สุดในเอเชีย โดยอัตราการเติบโตเป็นรองบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เนื่องจากมีสาขามากกว่า โดยปัจจุบันอานตี้แอนส์ในไทยทั้งหมด 80 สาขา โดยปีนี้จะขยายเพิ่มอีกประมาณ 10 สาขา
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อานตี้แอนส์ขยายไปปีละประมาณ 20 สาขา ปีนี้จึงชะลอการขยายสาขาลง และหันมาให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพของการบริหารจัดการร้านมากขึ้น
ปัจจุบันร้านอานตี้แอนส์มี 2 แบบ คือ จุดขายขนาดเล็กหรือคีออส รูปแบบนี้ไม่มีที่นั่ง ส่วนร้านขนาดใหญ่มีที่นั่งให้บริการโดยตอนนี้สัดส่วนของร้านขนาดใหญ่ประมาณ 40% ส่วนสาขาคีออส 60%
"เราจะเพิ่มจำนวนร้านขนาดใหญ่ให้มีสัดส่วนใกล้เท่ากับร้านคีออส เพราะร้านขนาดใหญ่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ด้านบวกให้กับแบรนด์ได้ดีกว่า"
ล่าสุดได้รีแบรนด์อานตี้แอนส์ใหม่และเป็นการรีแบรนด์ครั้งที่ 5 ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นประเทศที่ 4 รองจากสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฟิลิปปินส์ และอังกฤษ โดยภาพลักษณ์ใหม่ที่เป็นไปตามนโยบายทั่วโลกนั้นเน้นเพิ่มความสดใสให้แบรนด์มากขึ้น ทั้งโลโก้ บรรจุภัณฑ์และยูนิฟอร์ม
ประดิษฐ์ บอกว่า การรีแบรนด์ของอานตี้แอนส์ในไทยเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ปรับคอนเซปต์ร้านในช่วงแรกจากคีออสมาเป็นร้านขนาดใหญ่ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าคนไทยที่นิยมนั่งรับประทานในร้าน แต่การรีแบรนด์ในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดโดยใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านบาท และใช้งบการทำตลาดอีก 30 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 10-15%
ความสำเร็จของอานตี้แอนส์ที่เติบโตสูงที่สุดในเอเชีย เขาบอกว่า ทำให้ซีอาร์จีวางแผนนำแบรนด์นี้พร้อมอีกทั้ง 4 แบรนด์ที่ได้สิทธิในการขยายสาขาเข้าไปในเวียดนามและจีน โดยจะไปพร้อมกับการเข้าไปลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาหรือซีพีเอ็น
ทั้งนี้เวียดนาม จีน และอินเดีย เป็นประเทศที่บริษัทแม่อานตี้แอนส์ในสหรัฐอเมริกา สนใจและอยากเข้าไปลงทุนอยู่แล้วเพราะเห็นศักยภาพการเติบโตของประเทศและการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่พร้อมจะรับวัฒนธรรมการบริโภคใหม่ๆ
เขา บอกอีกว่า ปัจจุบันอานตี้แอนส์มีสาขา 930 สาขาใน 12 ประเทศ ส่วนในเอเชีย 9 ประเทศมีทั้งหมด 150 สาขา โดยผลงานของอานตี้แอนส์ในไทยเคยโตสูงสุดถึง 25% ในขณะที่ในสหรัฐเติบโตสูงสุดที่ 7-8% โดยรายได้ทั่วโลกประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทแม่คาดว่าหากสามารถขยายสาขาในอินเดียและจีนได้ จะทำให้อานตี้แอนส์โตอีกเท่าตัวภายใน 3 ปี เพราะทั้งสองประเทศเป็นตลาดขนาดใหญ่
ปัจจุบันทั้ง 5 แบรนด์ภายใต้การบริหารของซีอาร์จี มีจำนวนร้านทั้งหมดรวม 463 สาขาในปีที่ผ่านมายอดขายรวม 4,100 ล้านบาท สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10%
--------------------------------------
อานตี้แอนส์ในไทยเคยโตสูงสุด 25% ขณะที่สหรัฐเติบโตสูงสุด 7-8% และหากสามารถขยายสาขาในอินเดียและจีนได้ จะทำให้อานตี้แอนส์โตอีกเท่าตัวภายใน 3 ปี
ซีอาร์จีประกาศแผนโต 2 ทาง ทั้งลิขสิทธิ์จากแบรนด์ดังและพัฒนาแบรนด์ใหม่ของตัวเอง เล็งเปิดทางพันธมิตรร้านอานตี้แอนส์ในเวียดนามและจีนหลัง 9 ปี ในไทยประสบความสำเร็จด้วยอัตราโตสูงสุดในเอเชีย
เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป หรือซีอาร์จี เจ้าของลิขสิทธิ์ร้านอาหารแบรนด์ดังจากต่างประเทศ ประกอบด้วย มิสเตอร์โดนัท เคเอฟซี บาสกิ้นรอบบิ้น พิซซ่า ฮัท และอานตี้แอนส์
ภายใต้การบริหาร 5 แบรนด์ดังกล่าว ซีอาร์จีทำให้แบรนด์เหล่านี้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคไทย เช่น การผลักดันมิสเตอร์โดนัทให้ก้าวขึ้นสู่ที่หนึ่งของตลาดโดนัท หรืออานตี้แอนส์ประเทศไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเอเชีย หรืออัตราการเติบโตเป็นรองแค่ประเทศแม่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น
นอกจากการซื้อลิขสิทธิ์แบรนด์จากต่างประเทศแล้ว ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซีอาร์จีพยายามใช้ศักยภาพของตัวเองพัฒนาแบรนด์ใหม่ นั่นคือ สเต๊กฮันเตอร์(Steak Hunter) แต่พบว่าไม่สามารถฝ่าด่านการแข่งขันในตลาดสเต๊กได้จนต้องยุติ และสเต๊กฮันเตอร์ออกจากตลาดไป ทำให้ร้านอาหารประเภทสเต๊ก "ซิซซ์เล่อร์" ยังคงครองตลาดเพียงรายเดียว
อย่างไรก็ตามปีนี้ ซีอาร์จีประกาศจุดยืนในการปั้นแบรนด์ตัวเองอีกครั้ง เพื่อเป็นการสร้างรายได้สองทาง นั่นคือ จากแบรนด์ตัวเองและแบรนด์ที่ซื้อไลเซ่นจากต่างประเทศ
ประดิษฐ์ ภิญโญภาสกุล ผู้ช่วยกรรมการบริการอาวุโส บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด บอกถึง แนวทางการสร้างอัตราการเติบโตของซีอาร์จีในแบรนด์ที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศโดยเฉพาะขนมเพรทเซล อานตี้แอนส์(Auntie Anne's) ว่า หลังจากที่ซีอาร์จีบริหารมาแล้ว 9 ปีและมีอัตราการเติบโตมากที่สุดในเอเชีย โดยอัตราการเติบโตเป็นรองบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เนื่องจากมีสาขามากกว่า โดยปัจจุบันอานตี้แอนส์ในไทยทั้งหมด 80 สาขา โดยปีนี้จะขยายเพิ่มอีกประมาณ 10 สาขา
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อานตี้แอนส์ขยายไปปีละประมาณ 20 สาขา ปีนี้จึงชะลอการขยายสาขาลง และหันมาให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพของการบริหารจัดการร้านมากขึ้น
ปัจจุบันร้านอานตี้แอนส์มี 2 แบบ คือ จุดขายขนาดเล็กหรือคีออส รูปแบบนี้ไม่มีที่นั่ง ส่วนร้านขนาดใหญ่มีที่นั่งให้บริการโดยตอนนี้สัดส่วนของร้านขนาดใหญ่ประมาณ 40% ส่วนสาขาคีออส 60%
"เราจะเพิ่มจำนวนร้านขนาดใหญ่ให้มีสัดส่วนใกล้เท่ากับร้านคีออส เพราะร้านขนาดใหญ่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ด้านบวกให้กับแบรนด์ได้ดีกว่า"
ล่าสุดได้รีแบรนด์อานตี้แอนส์ใหม่และเป็นการรีแบรนด์ครั้งที่ 5 ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นประเทศที่ 4 รองจากสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฟิลิปปินส์ และอังกฤษ โดยภาพลักษณ์ใหม่ที่เป็นไปตามนโยบายทั่วโลกนั้นเน้นเพิ่มความสดใสให้แบรนด์มากขึ้น ทั้งโลโก้ บรรจุภัณฑ์และยูนิฟอร์ม
ประดิษฐ์ บอกว่า การรีแบรนด์ของอานตี้แอนส์ในไทยเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น ปรับคอนเซปต์ร้านในช่วงแรกจากคีออสมาเป็นร้านขนาดใหญ่ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าคนไทยที่นิยมนั่งรับประทานในร้าน แต่การรีแบรนด์ในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดโดยใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านบาท และใช้งบการทำตลาดอีก 30 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเติบโต 10-15%
ความสำเร็จของอานตี้แอนส์ที่เติบโตสูงที่สุดในเอเชีย เขาบอกว่า ทำให้ซีอาร์จีวางแผนนำแบรนด์นี้พร้อมอีกทั้ง 4 แบรนด์ที่ได้สิทธิในการขยายสาขาเข้าไปในเวียดนามและจีน โดยจะไปพร้อมกับการเข้าไปลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาหรือซีพีเอ็น
ทั้งนี้เวียดนาม จีน และอินเดีย เป็นประเทศที่บริษัทแม่อานตี้แอนส์ในสหรัฐอเมริกา สนใจและอยากเข้าไปลงทุนอยู่แล้วเพราะเห็นศักยภาพการเติบโตของประเทศและการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่พร้อมจะรับวัฒนธรรมการบริโภคใหม่ๆ
เขา บอกอีกว่า ปัจจุบันอานตี้แอนส์มีสาขา 930 สาขาใน 12 ประเทศ ส่วนในเอเชีย 9 ประเทศมีทั้งหมด 150 สาขา โดยผลงานของอานตี้แอนส์ในไทยเคยโตสูงสุดถึง 25% ในขณะที่ในสหรัฐเติบโตสูงสุดที่ 7-8% โดยรายได้ทั่วโลกประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งบริษัทแม่คาดว่าหากสามารถขยายสาขาในอินเดียและจีนได้ จะทำให้อานตี้แอนส์โตอีกเท่าตัวภายใน 3 ปี เพราะทั้งสองประเทศเป็นตลาดขนาดใหญ่
ปัจจุบันทั้ง 5 แบรนด์ภายใต้การบริหารของซีอาร์จี มีจำนวนร้านทั้งหมดรวม 463 สาขาในปีที่ผ่านมายอดขายรวม 4,100 ล้านบาท สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10%
--------------------------------------
อานตี้แอนส์ในไทยเคยโตสูงสุด 25% ขณะที่สหรัฐเติบโตสูงสุด 7-8% และหากสามารถขยายสาขาในอินเดียและจีนได้ จะทำให้อานตี้แอนส์โตอีกเท่าตัวภายใน 3 ปี
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
ว่าจะโพสหลายวันแล้ว แต่กระทู้มันไม่มีใครคุยเลย
ที่เงียบ ๆ รู้สึก VI จะแอบเก็บกันเยอะจริง ๆ นะครับ :lol:
พอ MINT 9 บาท เหลือบมาเห็น centel เห็น volume
นั่ง update ข้อมูลหน่อย หลังขายไปนานแล้ว
ผมก็เลยย้ายพรรคแบบอัดไม้เดียวเลย
ถึงตัวเลข roe แย่มาก capex บาน หนี้เพียบ
แต่ข้อดีคือ โรงแรมกับไก่ราคา 4000 ล้าน ผมว่าถูกไปหน่อยนะ
รอคนกลับมากินไก่ กันนอนหาด .. รออีกห้าปีน่าจะได้เห็นอะไร
ที่เงียบ ๆ รู้สึก VI จะแอบเก็บกันเยอะจริง ๆ นะครับ :lol:
พอ MINT 9 บาท เหลือบมาเห็น centel เห็น volume
นั่ง update ข้อมูลหน่อย หลังขายไปนานแล้ว
ผมก็เลยย้ายพรรคแบบอัดไม้เดียวเลย
ถึงตัวเลข roe แย่มาก capex บาน หนี้เพียบ
แต่ข้อดีคือ โรงแรมกับไก่ราคา 4000 ล้าน ผมว่าถูกไปหน่อยนะ
รอคนกลับมากินไก่ กันนอนหาด .. รออีกห้าปีน่าจะได้เห็นอะไร
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
ไม่แน่ใจนะครับพี่ SSL
ผมเคยถาม IR หลายบริษัท เรื่องหนี้ หรือ D/E
หลายครั้งได้รับคำตอบว่า D/E ตอนนี้ยังคงต่ำกว่า 2 และยังสามารถกู้กับธนาคารได้
(ทั้ง ๆ ที่ D/E จริง ๆ ตามการคำนวณปกติได้ 2 กว่าแล้ว)
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วเวลาแบงค์ดู เค้าคิด D/E แบบไหน
ส่วนเคสนี้ หุ้นกู้บริษัทก็หมดอายุช่วงนี้ทั้งหมดนิครับ
ผมว่าหุ้นกู้ตัวใหม่ อาจจะถูกปลดล็อคตัวนี้แล้ว
ส่วนสัญญากู้เงินกับบริษัทย่อย ผมว่าคงเลี่ยงบาลีได้อยู่แล้ว :lol:
ผมเคยถาม IR หลายบริษัท เรื่องหนี้ หรือ D/E
หลายครั้งได้รับคำตอบว่า D/E ตอนนี้ยังคงต่ำกว่า 2 และยังสามารถกู้กับธนาคารได้
(ทั้ง ๆ ที่ D/E จริง ๆ ตามการคำนวณปกติได้ 2 กว่าแล้ว)
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแท้จริงแล้วเวลาแบงค์ดู เค้าคิด D/E แบบไหน
ส่วนเคสนี้ หุ้นกู้บริษัทก็หมดอายุช่วงนี้ทั้งหมดนิครับ
ผมว่าหุ้นกู้ตัวใหม่ อาจจะถูกปลดล็อคตัวนี้แล้ว
ส่วนสัญญากู้เงินกับบริษัทย่อย ผมว่าคงเลี่ยงบาลีได้อยู่แล้ว :lol:
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
สงสัยนั่งฟังอยู่เหมือนกันอิอิsai เขียน:ขอสอบถามผู้รู้หน่อยครับว่า same store sales กับ total system sales (อัตราการเจริญเติบโตของยอดขาย ) แตกต่างกันอย่างไรครับ
sss (same store sales) นับการเติบโตยอดขายเฉพาะสาขาที่มีอยู่ครับ
ส่วน tss รวมสาขาที่เปิดใหม่ในรอบบัญชีนั้น ๆ ด้วย
สมมุติ sss = 0%
ก็ดูได้ว่าถ้าสาขาใหม่ growth มันมากกว่าที่มัน cannibalize สาขาเดิม
tss ก็จะเป็นบวกครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
555sai เขียน:Linzhi เขียน:สงสัยนั่งฟังอยู่เหมือนกันอิอิsai เขียน:ขอสอบถามผู้รู้หน่อยครับว่า same store sales กับ total system sales (อัตราการเจริญเติบโตของยอดขาย ) แตกต่างกันอย่างไรครับ
sss (same store sales) นับการเติบโตยอดขายเฉพาะสาขาที่มีอยู่ครับ
ส่วน tss รวมสาขาที่เปิดใหม่ในรอบบัญชีนั้น ๆ ด้วย
สมมุติ sss = 0%
ก็ดูได้ว่าถ้าสาขาใหม่ growth มันมากกว่าที่มัน cannibalize สาขาเดิม
tss ก็จะเป็นบวกครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
คราวที่แล้วทายว่าเป็นราเมงไปแล้ว ฟลุ้คถูก แต่ไม่คิดว่าเป็นชาบูตง เกินคาด
คราวนี้ผมขอทายไอศครีมบ้างแล้วกัน ขอเป็น Cold Stone นะ
http://www.japanthaifanclub.com/modules ... storyid=84
http://www.coldstonecreamery.com/icecre ... cream.html
อยากกินในเมืองไทย
อารมณ์เหมือนป้าแอ้นท์แบบมี activities นิด ๆ ผู้บริโภคสมัยนี้ชอบ
customer's experience ดีกว่าบาสกิ้นแน่ ๆ
คราวนี้ผมขอทายไอศครีมบ้างแล้วกัน ขอเป็น Cold Stone นะ
http://www.japanthaifanclub.com/modules ... storyid=84
http://www.coldstonecreamery.com/icecre ... cream.html
อยากกินในเมืองไทย
อารมณ์เหมือนป้าแอ้นท์แบบมี activities นิด ๆ ผู้บริโภคสมัยนี้ชอบ
customer's experience ดีกว่าบาสกิ้นแน่ ๆ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
suwits เขียน:Linzhi เขียน:คราวนี้ผมขอทายไอศครีมบ้างแล้วกัน ขอเป็น Cold Stone นะ
http://www.japanthaifanclub.com/modules ... storyid=84
http://www.coldstonecreamery.com/icecre ... cream.html
อยากกินในเมืองไทย
อารมณ์เหมือนป้าแอ้นท์แบบมี activities นิด ๆ ผู้บริโภคสมัยนี้ชอบ
customer's experience ดีกว่าบาสกิ้นแน่ ๆ
ขอถามน้อง Linzhi ครับ ถ้าได้ coldstone มาจริงๆ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm