คุยเรื่องยุโรปอเมริกาและจีนในช่วงพักร้อน/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

คุยเรื่องยุโรปอเมริกาและจีนในช่วงพักร้อน/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร ส.ค. 14, 2012 1:54 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เดือนสิงหาคมนั้นเป็นเดือนที่ยุโรปและอเมริกาพักร้อนกัน ในส่วนของสหรัฐนั้นแม้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนเดือนกรกฎาคม
แต่สภาผู้แทนและวุฒิสภาได้ปิดสมัยประชุมตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม และจะเปิดประชุมอีกครั้งในวันที่ 7 กันยายน จึงพอสรุปได้ว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์สำคัญๆ ในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองเกิดขึ้นในเดือนนี้ จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เราจะสามารถผ่อนคลายการจับติดสถานการณ์ต่างๆ ลงได้บ้าง ทั้งนี้ เรื่องแรกที่นักลงทุนจะกลับมาจับตามองก็น่าจะเป็นการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐที่ Jackson Hole ในวันที่ 31 สิงหาคม ซึ่งนายเบน เบอร์นันเก้ ผู้ว่าการธนาคารกลางจะต้องกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน ทำให้นักลงทุนอาจคาดการณ์ว่าจะต้องมีการเกริ่นถึงมาตรการคิวอี 3 ซึ่งตลาดเชื่อว่าจะประกาศออกมาอย่างเป็นทางการวันที่ 13 กันยายน หลังการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เสร็จสิ้นลง
สำหรับยุโรปนั้นประเทศที่มีปัญหามาก คือ สเปนและกรีซ ซึ่งในกรณีของกรีซนั้นมีข่าวในเชิงบวกว่า Troika ได้รับการตอบรับการตอบสนองที่ดีมากจากกรีซในการประเมินผลเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมและจะตัดสินใจว่าจะปรับเงื่อนไขที่จะจ่ายเงินช่วยเหลืองวดต่อไปหรือไม่ภายในต้นเดือนกันยายน แต่ผมเชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะจับตามองสเปนมากกว่า ทั้งนี้ เพราะสเปนยังต้องเผชิญกับดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีที่ระดับ 6.5-7.0% ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลสเปนจะไม่สามารถบริหารหนี้สาธารณะได้ แต่รัฐบาลสเปนได้ออกพันธบัตรเป็นจำนวนมากตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนกรกฎาคม ทำให้รัฐบาลยังไม่ต้องออกพันธบัตร (กู้เงิน) มากนักในเดือนสิงหาคมและกันยายน จึงพอมีเวลาไตร่ตรองว่ารัฐบาลสเปนจะยอมกลับคำไปร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุน EFSF หรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อร้องขอและลงนามในบันทึกช่วยจำที่จะรับเงื่อนไขการรัดเข็มขัดทางการคลังและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจแล้วก็เข้าใจว่าจะนำมา ซึ่งเงินสนับสนุนโดย EFSF-ESM จะเข้ามาซื้อพันธบัตรสเปนที่ประมูลใหม่ (primary market purchase) ในขณะที่ธนาคารกลางของยุโรป (อีซีบี) จะเข้าไปแทรกแซงตลาดโดยการซื้อพันธบัตรในตลาดรอง (SMP) ทั้งนี้ โดยวัตถุประสงค์หลัก คือ กดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ให้ลดลงจาก 6.5-7.0% ให้เหลือ 4% หรือต่ำกว่านั้นจึงจะเป็นการช่วยให้สเปนสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะของตนได้และหากทำได้สำเร็จก็น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับระบบการเงินยูโรโดยรวมช่วยให้พันธบัตรรัฐบาลอิตาลี ซึ่งอยู่ที่ 6.0-6.5% นั้น สามารถปรับลดลงไปที่ 4% หรือต่ำกว่านั้นเช่นกัน
ที่กล่าวข้างต้นนั้นถือว่าเป็นการมองโลกในแง่ดี แต่ก็มีความเป็นไปได้เพราะแนวทางในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้นนั้นได้รับการสนับสนุนอย่างชัดเจนจากผู้นำของเยอรมนีและฝรั่งเศส แม้ว่าผู้ว่าการธนาคารกลางของเยอรมนีจะแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการที่อีซีบีจะต้องเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลก็ตาม ท่าทีของเยอรมนีที่ประกาศออกมานั้นให้ความหวังกับนักลงทุนว่าจะมีลู่ทางที่เยอรมนีและประเทศเจ้าหนี้อื่นๆ จะอนุมัติเงินช่วยเหลือผ่านกองทุน EFSF ให้และเมื่อกองทุน ESM ได้รับความเห็นชอบจากทุกรัฐบาลที่เป็นสมาชิกกลุ่มยูโรแล้ว ก็จะทำให้เกิดกระบวนการที่จะให้อำนาจอีซีบีพิมพ์เงินออกมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีปัญหา ทั้งนี้ โดยจะมีประเด็นปลีกย่อยที่สำคัญอีก 2 ประเด็น คือ 1. สเปนจะต้องเป็นผู้ร้องขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการและ 2. อีซีบีน่าจะต้องยอมสละสิทธิการเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเหนือเจ้าหนี้อื่นๆ เมื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสเปน เพื่อให้กระบวนการแก้ปัญหาของสเปนเดินได้ต่อไป ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าในที่สุดสเปนก็จะต้องร้องขอความช่วยเหลือภายในเดือนตุลาคมนี้
ในส่วนของสหรัฐนั้นที่จริงแล้ว สถานะทางการคลังก็ไม่ดีนักและมีความเสี่ยงในอนาคตไม่แพ้ยุโรป แต่โชคดีที่ประเทศต่างๆ และนักลงทุนกลัวเรื่องยุโรปมากกว่า จึงหันมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและถือเงินดอลลาร์ โดยมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่สหรัฐยังไม่ได้แก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะก็ยังพอกพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ สหรัฐจะขาดดุลงบประมาณเท่ากับ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2012 เท่ากับ 8% ของจีดีพี (เพื่อช่วยให้จีดีพีโตได้ไม่ถึง 2%) ทั้งนี้ สหรัฐขาดดุลงบประมาณเฉลี่ยปีละ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2012 หมายความว่า ในช่วง 4 ปีงบประมาณที่ผ่านมาสหรัฐสร้างหนี้เพิ่มมากกว่ามูลค่าหนี้ทั้งหมดที่สเปน อิตาลี กรีซ โปรตุเกสและไอร์แลนด์มีอยู่ในขณะนี้ การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาหลังจากประสบวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2008 นั้นสหรัฐขาดดุลงบประมาณ 8-10% ของจีดีพีต่อปี ในขณะที่สหรัฐขาดดุลงบประมาณเฉลี่ยปีละ 2.1% ของจีดีพีในช่วง 1959-2008 ทั้งนี้ สาเหตุหนึ่งที่สหรัฐยังไม่ได้แก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณ คือ การที่รัฐบาลสหรัฐยังสามารถออกพันธบัตร (กู้เงิน) ได้ที่ดอกเบี้ย 0.3% สำหรับการกู้ 2 ปีและ 1.5% สำหรับการกู้เงิน 10 ปี ทั้งๆ ที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 2.3% กล่าวคือ เจ้าหนี้ของสหรัฐทุกคนจ่ายดอกเบี้ยให้กับรัฐบาลสหรัฐกู้เงินนั่นเอง ดังนั้น เมื่อนักการเมืองสหรัฐกลับมาจากการพักร้อนก็น่าจะเชื่อได้ว่าจะยังไม่มีการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาว แม้แต่ปัญหาหน้าผาทางการคลัง (fiscal cliff: การหมดอายุของมาตรการอุดหนุนและการลดภาษีต่างๆ) ที่เผชิญหน้าอยู่ก็อาจจะไม่ได้รับการแก้ไข เพราะใกล้เวลาเลือกตั้งประธานาธิบดีเต็มที่แล้ว
สำหรับจีนนั้น Asian Wall Street Journal รายงานว่าเป็นการพักร้อนของผู้นำที่เป็นการประชุมลับเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาการกำจัดนาย Bo Xilai นักการเมืองชั้นนำของจีนและการลงโทษภรรยาของเขาตลอดจนการสับเปลี่ยนผู้นำ โดยคาดการณ์ว่ารองประธานาธิบดี Xi Jiu Ping จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีแทนนาย Hu Jin Tao และรองนายกรัฐมนตรี Li Kegiang จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนาย Wen Jia Bao
นอกจากนั้น จะเห็นข่าวการปะทะคารมกันระหว่างจีนกับสหรัฐ เช่น การที่กระทรวงการต่างประเทศจีนเรียกอุปทูตอเมริกันที่กรุงปักกิ่งมาต่อว่ากรณีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐสรุปว่าจีนกำลังเพิ่มความเครียดให้กับบริเวณทะเลจีนตอนใต้ เนื่องจากจีนได้ตั้งกองทหารขึ้นเพื่อดูแลหมู่เกาะทะเลจีนตอนใต้และยกระดับชุมชนจีนที่อาศัยอยู่บนเกาะ Sansha (โดยคาดว่าจะมีเพียง 613 คน) เป็นเมืองที่มีอำนาจปกครองหมู่เกาะ Spratlys Paracel และ Maccles Bank ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไนและมาเลเซียต่างก็อ้างสิทธิครอบครองเช่นเดียวกับจีน
แถมท้ายด้วยความไม่พอใจของจีนโดยสำนักข่าวชินหัวกล่าวหารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐว่าพยายามบ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างจีนกับประเทศในทวีปแอฟริกา เพราะนาง Hillary Clinton กล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งที่ประเทศเซเนกัลว่าสหรัฐเสนอที่จะเป็นพันธมิตรที่คงทนถาวรโดยจะ “เพิ่มมูลค่าให้แอฟริกาไม่ใช่ขุดเอาสิ่งมีค่า” (adds value rather than extract it) ซึ่งสำนักข่าวซินหัวอ้างว่าอเมริกาหมายถึงจีน แม้ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐจะไม่ได้กล่าวชื่อประเทศใดออกมา ทั้งนี้ ผู้นำแอฟริกาแสดงความเห็นว่าแอฟริกายินดีที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดีทั้งกับจีนและอเมริกา
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันที่13 สค.2555
[/size]



ตอบกลับโพส