โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความ Value Way กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2555
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
ภูมิคุ้มกันความเสี่ยง
เป็นที่รู้กันดีว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง”
สุดยอดนักลงทุนอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เคยกล่าวถึงเรื่อง “ความเสี่ยง” ไว้ว่า “ความเสี่ยงมาจากการที่คุณไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่” นั่นหมายความว่า ถ้าเรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเรารู้จักและเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนเป็นอย่างดี เปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงก็ย่อมลดลง
ในการเลือกบริษัทที่จะลงทุน “บัฟเฟตต์” ใช้วิธีคัดแยกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก - บริษัทที่น่าสนใจลงทุน กลุ่มที่ 2 - บริษัทที่ไม่น่าสนใจลงทุน และกลุ่มสุดท้าย - บริษัทที่เขารู้สึกว่ายากเกินไปที่จะทำความเข้าใจ หรืออยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของเขา ซึ่งกลุ่มสุดท้ายนี้ “บัฟเฟตต์” บอกว่ามีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ ว่าจะมีบริษัทมากมายที่อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของนักลงทุนมือหนึ่งของโลก แต่ “บัฟเฟตต์” ยืนยันเช่นนั้น “ใครก็ตามที่บอกคุณว่า เขาสามารถตีมูลค่าของหุ้นทั้งหมดที่อยู่บนกระดานได้ เขาประเมินความสามารถของเขาเกินความจริงไปแล้ว เพราะการทำเช่นนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
แม้จะผ่านประสบการณ์ในการลงทุนมายาวนาน แต่ “บัฟเฟตต์” ยอมรับว่า ความรู้ความเข้าใจของคนเรามีขีดจำกัด ดังนั้นเขาจึงกำหนดขอบเขตการลงทุนเฉพาะสิ่งที่เขารู้จักและเข้าใจเป็นอย่างดีเท่านั้น ซึ่งเขาเรียกว่า “ขอบเขตแห่งความรอบรู้” (Circle of Competence)
เขาแนะนำว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกๆบริษัท หรือในธุรกิจจำนวนมาก ขอเพียงแต่มีความสามารถในการวิเคราะห์และประเมินบริษัทที่อยู่ในขอบเขตแห่งความรอบรู้ของตนเอง ก็สามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้
“สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องของขอบเขตแห่งความรอบรู้ของคุณนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าขอบเขตมีบริเวณกว้างใหญ่เพียงใด แต่อยู่ที่ว่าคุณสามารถกำหนดเส้นขอบเขตได้ชัดเจนมากเพียงใด หากคุณรู้ว่าขอบเขตมันอยู่ที่ไหน คุณจะทำงานได้ดีกว่าบางคนที่มีขอบเขตกว้างกว่าคุณถึง 5 เท่า แต่มองไม่เห็นเส้นขอบเขตได้ชัดเจน”
นอกจาก “บัฟเฟตต์” จะกำหนดขอบเขตการลงทุนเฉพาะในสิ่งที่เขารู้จักและเข้าใจเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันเขาก็มีวินัยที่จะไม่นำเงินไปเสี่ยงกับการลงทุนในธุรกิจที่อยู่นอกเหนือขอบเขตแห่งความรอบรู้ของเขาด้วยเช่นกัน เขาย้ำว่า “การไม่เข้าไปในธุรกิจที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของผมเป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน”
ตัวอย่างที่ยืนยันคำพูดของ “บัฟเฟตต์” ได้อย่างชัดเจนก็คือ การที่เขาไม่เข้าไปลงทุนซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งเป็นยุคที่หุ้นดอตคอมกำลังเฟื่องฟู ตอนนั้นบรรดานักลงทุนในตลาดต่างไล่ซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกันอย่างเมามัน หลายคนมองว่า “บัฟเฟตต์” ล้าหลังและกำลัง “ตกรถ” แต่จริงๆแล้ว เขาตัดสินใจที่จะไม่ “ขึ้นรถ” ต่างหาก เขาบอกว่า “การลงทุนจะต้องมีเหตุมีผล หากคุณไม่สามารถเข้าใจมันได้ ก็อย่าไปลงทุนกับมัน”
เหตุผลของ “บัฟเฟตต์” ก็คือ ถึงแม้เขาจะเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าสังคมกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยสินค้าและบริการทางด้านเทคโนโลยี แต่ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าผู้ประกอบการรายไหนในอุตสาหกรรมนี้ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง “บัฟเฟตต์” ยอมรับว่า เขาไม่มีความสามารถในการประเมินผลการดำเนินงานระยะยาวของธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหล่านี้ได้ เขาจึงแก้ปัญหาง่ายๆด้วยการไม่เข้าไปลงทุนในธุรกิจดังกล่าว
และการไม่ “ล้ำเส้น” เข้าไปในธุรกิจที่อยู่นอกเหนือขอบเขตแห่งความรอบรู้ของเขาในครั้งนั้น ทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัยเมื่อฟองสบู่ของหุ้นดอตคอมได้แตกลงในเวลาไม่กี่ปีต่อมา
นั่นคือกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การยืนหยัดลงทุนในสิ่งที่มีความรู้ความเข้าใจ และเลือกที่จะไม่ก้าวออกไปนอกขอบเขตแห่งความรอบรู้ ถือเป็นการสร้าง “ภูมิคุ้มกันความเสี่ยง” ในการลงทุนได้เป็นอย่างดี
และต้องไม่ลืมว่า แม้จะลงทุนในสิ่งที่รู้จักและเข้าใจ แต่ก็ต้องไม่จ่ายในราคาที่สูงเกินไป “วอร์เรน บัฟเฟตต์” บอกไว้ว่า “ถ้าคุณซื้อแต่สิ่งที่คุณเข้าใจ และมีวินัยที่จะไม่ซื้อมันมาในราคาแพงเกินไป คุณจะไม่มีวันขาดทุน”