เซียนหุ้น “ขายหมู” (2) /ประภาคาร ภราดรภิบาล

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เซียนหุ้น “ขายหมู” (2) /ประภาคาร ภราดรภิบาล

โพสต์ โดย Thai VI Article » ศุกร์ พ.ย. 02, 2012 2:26 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

บทความ Value Way กรุงเทพธุรกิจ Bizweek ฉบับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555
โดย ประภาคาร ภราดรภิบาล
เซียนหุ้น “ขายหมู” (2)                    
   บทความที่ผ่านมา ผมเล่าประสบการณ์ “ขายหมู” ของ “เซียนหุ้น” อย่าง “ปีเตอร์ ลินซ์” ไปแล้ว คราวนี้ผมก็ยังมีเรื่องราวการ “ขายหมู” ของ “เซียนหุ้นระดับตำนาน” ท่านอื่นๆมาบอกเล่าเป็นกรณีศึกษาให้ได้ติดตามกันต่อครับ                                        
   เริ่มจาก “เซอร์จอห์น เทมเพิลตัน” เซียนหุ้นนักบุกเบิกที่แสวงหาโอกาสการลงทุนไปยังตลาดหุ้นของประเทศต่างๆทั่วโลก 
   ในปี 1968 “เทมเพิลตัน” พบว่า หุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ บริษัทที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งซื้อขายกันที่ค่า PE เพียง 3 เท่า ในขณะที่หุ้นอเมริกาซื้อขายกันที่ PE 15 เท่า เขาจึงเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในญี่ปุ่นเป็นสัดส่วนถึง 50% ของทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนรวมที่เขาบริหารอยู่
   ต่อมาเมื่อหุ้นในตลาดญี่ปุ่นเริ่มร้อนแรง ขยับขึ้นไปซื้อขายกันที่ PE สูงถึง 30 เท่า “เทมเพิลตัน” จึงตัดสินใจขายหุ้นญี่ปุ่น เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นในตลาดอื่นๆที่มีราคาถูกกว่า แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ขายออกไป หุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ยังร้อนแรงไม่หยุด ยังคงพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่องขึ้นไปซื้อขายกันที่ PE สูงถึง 75 เท่า “เทมเพิลตัน” ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการ “ขายหมู” ในคราวนั้นว่า เขาตัดสินใจขายเร็วเกินไปหน่อย ไม่เช่นนั้นคงได้กำไรอีกหลายเท่าตัว
   มาต่อกันที่เรื่องราวของผู้บริหารกองทุนชั้นเซียนอย่าง “จอห์น เนฟฟ์” 
   ในปี 1978 “เนฟฟ์” ในฐานะผู้บริหารกองทุน Windsor ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้น Gulf Oil ในขณะที่บริษัทกำลังเผชิญกับการถูกฟ้องร้อง ทำให้หุ้น Gulf Oil ซื้อขายกันที่ P/E ต่ำเพียง 5 เท่ากว่าๆ แต่ “เนฟฟ์” ศึกษาข้อมูลดูแล้ว เขาเชื่อว่า Gulf Oil น่าจะเป็นฝ่ายชนะคดี และขณะเดียวกันบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้ P/E ของหุ้นตัวนี้ขยับสูงขึ้นไปได้อีก 
   และก็เป็นไปอย่างที่ “เนฟฟ์” คาด ในเวลาเพียง 1 ปี หุ้น Gulf Oil ให้ผลตอบแทนมากกว่า 40% แต่ “เนฟฟ์” บอกว่า เขาขายหุ้นตัวนี้เร็วเกินไป เพราะถ้าเขาถือหุ้นตัวนี้ไว้อีก 1 ปี จะได้ผลตอบแทนสูงเกือบ 90% เลยทีเดียว
   มาถึง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” กันบ้างครับ เมื่อคราวที่เขาเข้าไปลงทุนในบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศจีนที่ชื่อว่า “ปิโตรไชน่า” นั้น เขาได้อ่านรายงานประจำปีของบริษัทนี้ แล้วพบว่าเป็นกิจการที่น่าสนใจลงทุน “บัฟเฟตต์” ประเมินมูลค่าของบริษัทได้ประมาณ 1 แสนล้านเหรียญ แต่ในตอนนั้นมูลค่าตลาดหรือมาร์เก็ตแคปของ “ปิโตรไชน่า” อยู่ที่ 2 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าของบริษัทหลายเท่า เขาจึงเข้าไปซื้อลงทุน 
   ต่อมาไม่นานราคาหุ้น “ปิโตรไชน่า” พุ่งกระฉูด จนมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นจาก 2 หมื่นล้านเหรียญ เป็น 1.6-2 แสนล้านเหรียญ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 8 เท่าของต้นทุนที่ “บัฟเฟตต์” ซื้อมา เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นออกไป ได้กำไรถึง 3.5 พันล้านเหรียญ แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ขายหุ้นออกไป ราคาของ “ปิโตรไชน่า” ก็ยังวิ่งขึ้นต่อไปไม่ยอมหยุด 
   “บัฟเฟตต์” ออกมาให้สัมภาษณ์หลังจากขายหมู “ปิโตรไชน่า” ไปไม่นานว่า “เราทำเงินได้ประมาณ 3.5 พันล้านเหรียญ แต่เราคิดว่าเราขายเร็วเกินไป เพราะหลังจากที่เราขายหุ้นออกไปแล้ว ราคากลับเพิ่มสูงขึ้นมาก...เราทิ้งเงินไปเยอะเลยทีเดียว” 
   อย่างที่ผมได้บอกกล่าวไว้ในบทความตอนที่แล้วว่า การ “ขายหมู” ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใดสำหรับผู้ที่อยู่ในตลาดหุ้น เนื่องจากไม่มีใครสามารถคาดเดาตลาดได้ถูกต้องตลอดเวลา ถึงแม้จะเป็น “เซียนหุ้น” ก็ตาม
   ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของ “วิลเลียม โอนีล” ที่ได้ให้ข้อคิดดีๆไว้ว่า “เมื่อเข้าซื้อหุ้นแล้ว สิ่งที่ควรจำข้อแรกคือ เราควรถือหุ้นไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่ราคาหุ้นยังมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ข้อสอง เราควรระลึกไว้เสมอว่าเป้าหมายของเราคือการทำกำไรในหุ้นตัวนั้นอย่างสมน้ำสมเนื้อ และเราไม่มีทางที่จะขายหุ้นได้ในราคาที่สูงที่สุด เป็นเรื่องที่ไร้สาระมากที่เราจะมานั่งเสียดายเมื่อหุ้นที่เราขายแล้วมีราคาสูงขึ้นไปอีก”
[/size]



ตอบกลับโพส