โค้ด: เลือกทั้งหมด
ท้าสำรวจ /คนขายของ
สมัยผมเริ่มลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่มีเว็บบอร์ด ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต การหาหุ้นในการลงทุนสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่อย่างผม มักใช้การฟังข่าวว่า ตอนนี้มีบริษัทอะไรที่อยู่ในกระแสข่าวและความนิยมของนักลงทุน ข่าวที่ดังๆก็เป็นประเภท หุ้น IPO หุ้นที่กำลังมีดีลควบรวมกิจการ หุ้นที่มีการได้สัมปะทาน หุ้นที่จะมีการร่วมทุน ด้วยความทีผมยังอ่อนหัด เมื่อมีข่าวอะไรเข้ามาผมก็ไม่ได้สนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพื่อที่จะเปรียบเทียบว่า หุ้นตัวที่เป็นข่าวกับหุ้นตัวอื่นๆที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันซึ่ง อาจมีมูลค่าหรือศักยภาพที่น่าสนใจมากกว่าตัวที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนั้น เรียกว่าตัวไหนดังก็เข้าตัวนั้น ในบางครั้งถึงแม้ว่าผมสามารถทำกำไรได้จากหุ้นที่เป็นข่าว แต่ผมเชื่อว่าหากผมหันมามองรอบๆอีกสักนิด ผมน่าจะสามารถมีกำไรจากการลงทุนได้ดีกว่า อีกทั้งยังไม่ต้องรอแย่งIPO หรือไปไล่ราคากับคนอื่นเขาเมื่อมีข่าวออกมา
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเร็วๆนี้ที่อเมริกา FACEBOOK (FB)เว็บสังคมออนไลน์ได้ประกาศ IPO เป็นครั้งแรก ที่ราคาประมาณ 38 USD นั้น FB มีมูลค่ากิจการประมาณ $100 BillionPE เกือบร้อยเท่า แต่ตลาดก็ยังเชื่อว่าในอนาคต FB น่าจะสามารถเติบโตได้อีกมากทำให้การขาย IPO ไม่มีปัญหา ในช่วงที่ FB ทำ IPO ราวๆเดือนพฤษภาคมนั้น GOOGLE (GOOG) อีกหนึ่งบริษัทเทคโนโลยีซึ่งมีโครงสร้างทางธุรกิจใกล้เคียงกัน มีมูลค่ากิจการประมาณ $200 Billion มากกว่า FB สองเท่า แต่ GOOG มีรายได้ในปี 2011 $38 Billion มากกว่ารายได้ที่ FB ทำได้ในปี 2011 ถึง 10 เท่า ในแง่ของกำไรย้อนหลังสี่ไตรมาส โดยนับจาก 3Q12 GOOG มีกำไรทุกไตรมาส ไตรมาสละมากกว่า $2.7 Billion ในขณะที่ FB โชว์ขาดทุนในสองไตรมาสล่าสุด(2Q12+3Q12)รวมกันกว่า$200 Million ผมเองก็เชื่อว่า FB มีเรื่องราวที่น่าเชื่อถือได้ว่าน่าจะดีในอนาคต ผมเองก็มี account และก็เข้าไปเช็คเกือบทุกวันเพื่อนๆผมก็ใช้กันทั้งนั้น แต่ถ้าหากให้ผมเลือกลงทุนหุ้นในกลุ่มนี้ ระหว่าง FB ตอน IPO กับ GOOG ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาผมคงเลือก GOOG ซึ่งตอนนั้นมี PE 19เท่า มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นมากกว่า $47 Billion เป็นแน่แท้
ถ้ากลับมาดูฝั่งประเทศไทยบ้าง ถึงแม้ตัวกิจการจะไม่เหมือนกันเลยทีเดียวแต่คงพอทำให้เห็นภาพได้บ้าง ทั้งนี้ผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมไม่ได้หมายความว่ากิจการไหนดีกว่า จุดมุ่งหมายผมอยู่ที่ว่า ก่อนที่เราจะลงทุนในกิจการใดๆ เราได้ลองสำรวจดูกิจการที่ใกล้เคียงกันแล้วหรือยังว่า มีมูลค่าเชิงคุณภาพ (Quality) และ เชิงปริมาณ (Quantity) เป็นอย่างไร ขอยกตัวอย่างเช่นกิจการที่ทำบรรจุภัณฑ์ มีหุ้นตัวเล็กทำ IPOโดยมีนักวิเคราะห์ประเมินว่า หากคิด อัตราส่วนทางการเงินโดยใช้กำไรของปี 2012 ณ ราคา IPO สิ้นปีหุ้นตัวนี้จะมี PE ประมาณ 9 และ PBV ประมาณ 2 เมื่อผมดูกระแสเงินสดประกอบก็เห็นว่าพอใช้ได้ และคิดว่าราคา IPO ก็สมเหตุสมผล แต่บังเอิญว่ามีหุ้นตัวใหญ่อีกตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ในตอนนั้นมีอัตราส่วนทางการเงิน คิดบนกำไรของปี 2011 ซึ่งเป็นกำไรของปีที่แล้วยังไม่รวมการเติบโตที่น่าจะทำได้ในปีนี้ได้ PE ประมาณ 6 และ PBV ประมาณ 0.8 และเมื่อลองดูการเติบโตในอนาคตก็พอไปได้ ดูประวัติปันผลย้อนหลังก็สม่ำเสมอดี อยู่ในตลาดมาก็ยาวนาน ข้อมูลมีให้ศึกษามากกว่า แต่ว่าทั้งนี้ ถ้าในตอนนั้นเราอ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี ย่อมเจอข่าวของหุ้นเล็กที่กำลัง IPO ซึ่งก็เป็นธรรมดาว่าต้องมีการโปรโมท ด้วยอานุภาพของสื่อทั้งหลายอาจทำให้เราพลาดของดีที่อยู่กับเรามานานแต่ไม่มีใครให้ความสนใจ
ดังนั้นสำหรับนักลงทุนมือใหม่ หากท่านเจอหุ้นที่มี “story” ที่ท่านคิดว่าดีแล้วก็ขอให้อย่าลืมหาคู่เทียบด้วย ยิ่งถ้ามีคู่แข่งหลักอยู่ในตลาดด้วยแล้วยิ่งดี ให้จับมาวิเคราะห์กันแบบหมัดต่อหมัดกันไปเลย ดูทั้งเชิงคุณภาพ (ความสามารถในการแข่งขันของตัวธุรกิจ) และ เชิงปริมาณ (อัตราส่วนทางการเงิน)เพราะท่านอาจจะได้เจอกับของที่คล้ายกันแต่น่าสนใจกว่าบนพิ้นฐานการวิเคราะห์อันเดียวกัน หรือในบางกรณี ท่านอาจจะพบว่าบริษัทที่เป็น “supplier” ให้กับบริษัทที่ท่านกำลังวิเคราะห์อยู่นั้นน่าสนใจกว่าเป็นไหนๆ เพราะเขามีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า ก็อย่างที่เขาว่าละครับ “We’re all connected” ดังนั้นเราควรพิจารณาให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน