VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

VI กับ ชีวจิต/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ย. 04, 2012 8:26 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor             3 พฤศจิกายน 55

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

VI กับ ชีวจิต

	การเสียชีวิตของ ดร. สาทิส อินทรกำแหง นักวิชาการผู้ริเริ่มแนวความคิด “ชีวจิต” ขึ้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนนั้น ทำให้ผมหวลคิดถึงแนวความคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investment ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว เพราะทั้งสองเรื่องนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกันแม้ว่ามันจะเป็นคนละ “วิชา” นั่นคือ ชีวจิตเป็นเรื่องของสุขภาพ แต่ VI เป็นเรื่องเงินทอง

	เรื่องแรกที่เหมือนกันก็คือ ชีวจิตและ VI ต่างก็เป็นแนวความคิดที่เป็น “กระแสใหม่” ที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับความคิดหรือความเชื่อหรือสิ่งที่คนไทยก่อนหน้านั้นปฏิบัติอยู่ คนที่เชื่อหรือเป็นผู้นำในการปฏิบัติตามแนวทางใหม่นี้ก็คือ คนที่มีความคิดก้าวหน้า  พร้อมรับกับทฤษฎีใหม่ๆ และเสาะแสวงหาหนทางที่ดีกว่าสำหรับตนเองในเรื่องของสุขภาพและการลงทุน พวกเขาเห็นว่าแนวทางที่เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อและยอมรับกันมาตลอดนั้น ไม่ใช่สิ่งที่วิเศษหรือดี เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาอาจจะมีความเชื่อลึกๆ ว่า การเป็น “คนส่วนใหญ่” นั้น คุณก็อาจจะเป็นได้แค่ “ค่าเฉลี่ย” ไม่มีทางที่คุณจะ “เป็นเลิศ” ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพหรือเงินทอง ดังนั้น พวกเขาจึงรับแนวความคิดของชีวจิตและ VI ได้อย่างรวดเร็วและเต็มใจแม้ว่าการปฏิบัติตามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยความตั้งใจและความเชื่อมั่นที่แรงกล้า

	ข้อสอง  แนวความคิดเรื่องชีวจิตนั้น การเริ่มต้นจริงๆ น่าจะเกิดจากหนังสือเรื่อง “ชีวจิต” การใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในราวปี 2536 และหลังจากนั้นก็มีการพิมพ์ซ้ำอีกน่าจะหลายสิบครั้ง และถ้าผมจำไม่ผิด เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่แทบไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ มีการประมาณกันว่าคนเขียนคือ ดร. สาทิส น่าจะทำเงินได้หลายสิบล้านบาทจากค่าลิขสิทธ์ซึ่งในสมัยนั้นต้องถือว่าเป็นสุดยอดของการเขียนหนังสือ อาจจะคล้ายๆ กับในสังคมตะวันตกที่ว่า การเขียนหนังสือนั้น สามารถทำให้คุณรวยได้ถ้าหนังสือติดตลาดจริงๆ ส่วนการเริ่มต้นของ VI เมื่อประมาณปี 2542 นั้นน่าจะเริ่มจากหนังสือ “ตีแตก” กลยุทธ์การลงทุนในภาวะวิกฤติ ที่ผมเขียน และหลังจากนั้นก็มีการตีพิมพ์ใหม่ซ้ำอีกเป็นสิบครั้งจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ตอนที่หนังสือออกขายในช่วงปีแรกๆ นั้น หนังสือไม่ได้ขายดีแต่อย่างใด เหตุผลก็เพราะว่าความสนใจในเรื่องหุ้นยังมีน้อยค่าที่เมืองไทยยังไม่ฟื้นจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้น คนไม่มีเงินหรือจิตใจที่จะซื้อหุ้น ต่อมา เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัวขึ้นและคนเริ่มเห็นว่าแนวทาง VI เป็นทางเลือกที่ดี หนังสือจึงขายดีขึ้นทั้งๆ เวลาผ่านไปนับสิบปีแล้ว

	ข้อสาม แนวทางชีวจิตนั้น ไม่ใช่แนวทางใหม่ในต่างประเทศ ที่จริงผมคิดว่าแนวทางที่คล้ายกันและเป็นพื้นฐานของชีวจิตนั้นน่าจะมาจากแนวความคิดเรื่อง Macrobiotic ที่น่าจะมีมานานพอควร หรือแนวทางของการกินเจของจีนที่มีมานานเป็นพันปีและตะวันตกนำไปศึกษาและพบว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพมากและเขียนเป็นเอกสารไว้ เช่นเดียวกัน การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ Value Investment นั้น เบน เกรแฮม ได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ปี 1934 หรือประมาณ 80 ปีมาแล้ว ผ่านหนังสือชื่อ  Securities Analysis และต่อมาคือ Intelligent Investor ซึ่งได้รับการยอมรับและมีการใช้กันอย่างกว้างขวางในสหรัฐมานานและคนที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่างก็มีมากมาย ซึ่งหนังสือเรื่องตีแตกหรือความคิดเรื่องการลงทุนแบบ VI ในเมืองไทยก็อิงจากพื้นฐานนั้น ดังนั้น ทั้งชีวจิตและ VI ต่างก็เป็นแนวความคิดหรือกระแสของโลกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยในช่วงเวลาที่เหมาะสมและกลายเป็นกระแสที่คนไทยน้อมรับอย่างมีชีวิตชีวา

	กระแสของชีวิตและของ VI นั้น ในช่วงแรกๆ เนื่องจากความใหม่ ดังนั้น มันจึงมีความรุนแรง คนที่ศึกษาและนำมาปฏิบัติจำนวนมากต่างก็เห็นผลที่ “มหัศจรรย์” ในเรื่องของชีวจิตนั้น คนที่เป็นมะเร็งระยะท้ายๆ หลายคนบอกว่าผลของการใช้หลักการแบบชีวจิตทำให้เขาหายจากมะเร็งได้ เช่นเดียวกัน นักลงทุนแบบ VI จำนวนมากบอกว่าหลังจากการลงทุนในแนวนี้ พอร์ตการลงทุนเติบโตมหาศาล หลายคนกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน บางคนมีเงินเป็นร้อยล้านก่อนอายุ 30 ปี บางคนเป็นเศรษฐีพันล้านเมื่ออายุยังไม่ห้าสิบ ผมเองไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าความสำเร็จทั้งเรื่องของชีวจิตและเรื่อง VI ที่กล่าวถึงนั้น ทั้งหมดมาจากการปฏิบัติตามหลักการจริงหรือมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มะเร็งนั้นเป็นโรคที่มีความซับซ้อนมาก คนที่หายหรือไม่ตายจากมะเร็งระยะท้ายบางทีก็มาจากสาเหตุต่าง ๆ หลายอย่างที่เราไม่รู้ เช่นเดียวกัน คนที่รวยจากการลงทุนแบบมโหฬารโดยไม่ได้ใช้หลักการ VI ก็มีไม่น้อยโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” อย่างแรงมายาวนาน ดังนั้น ความ “มหัศจรรย์” อาจจะเป็นคำกล่าวที่ “เกินไป” ก็ได้ พูดง่ายๆ หลักการทั้งชีวจิตและ VI นั้น อาจจะดีมากๆ ถ้าเราใช้ แต่อย่าหวังว่ามันจะเป็นยาวิเศษที่จะบันดาลสิ่งมหัศจรรย์กับเราได้เสมอ

	เมื่อมีกระแสเรื่องชีวจิตเกิดขึ้น คนที่ศึกษาและปฏิบัติตามในแนวเดียวกันก็ตามมา และแน่นอน ความหลากหลายก็เกิดขึ้น เริ่มต้นนั้นน่าจะเกิดจากการที่มัน “สามารถ” ช่วยรักษามะเร็ง ต่อมา ก็มีกระแสว่ามันจะช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาวจนมีคนตั้งชมรม “คนอยู่ 100 ปี” เพราะพวกเขาเชื่อว่าด้วยการใช้หลักการการกินอยู่ ออกกำลังกาย และการทำจิตใจที่ถูกต้อง การอยู่ได้จนถึงร้อยปีไม่น่าจะมีปัญหา เช่นเดียวกัน เรื่องของ VI นั้น ช่วงแรกก็อาจจะเป็นแค่ว่ามันเป็นหลักการลงทุนที่เน้นความปลอดภัยได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควรในระยะยาว แต่ต่อมาเมื่อมีคนเข้าร่วมมากขึ้นและประสบความสำเร็จสูงขึ้นก็เริ่มที่จะมีแนวความคิดทำนอง ชมรม “คนพันล้าน” หรือคนที่จะสามารถมี “อิสรภาพทางการเงิน” ตั้งแต่อายุยังน้อยไม่เกิน 40 ปี เป็นต้น โดยทั้งสองเรื่องนั้น “ผู้นำ” ของความคิดต่างก็ปฏิบัติเป็นตัวอย่างให้เห็น อย่างไรก็ตาม หนทางที่จะอยู่ได้ถึง 100 ปี หรือหนทางรวยเป็นพันล้านหรือมีอิสรภาพทางการเงินนั้นต้องใช้เวลา มันยังต้องรอการพิสูจน์

	การเสียชีวิตของอาจารย์สาทิสในวัย 86 ปีนั้น ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่จุดความคิดผม ก่อนหน้านี้ คุณทวี บุตรสุนทร อดีตรองผู้จัดการใหญ่บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ซึ่งเคยประกาศว่าจะอยู่ถึงร้อยปี เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 72 ปี นี่อาจจะเป็นเครื่องเตือนว่ามันมีปัจจัยมากมายที่กำหนดสุขภาพและอายุขัยของเรา หนึ่งในนั้นที่สำคัญเท่าหรือสำคัญกว่าก็คือยีนส์ของมนุษย์ที่อาจจะกำหนดวิถีชีวิตของเราไว้แล้วถึง 60-70% ในเรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน ในช่วงเร็วๆ นี้ VI ในประเทศไทยอาจจะรู้สึก “เหนือโลก” ด้วยผลงานการลงทุนที่อาจจะ “สุดยอด” ไม่มี VI ประเทศไหนเสมอ ดังนั้น หลายคนตั้งเป้าหรือคิดไปไกลว่าเขาจะโตต่อไปได้ในอัตราเช่น ปีละ 20-25% ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นมหาเศรษฐี อย่างไรก็ตาม การลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่อาจจะถูกกำหนดไว้เหมือนกันโดยสิ่งที่เรายังไม่รู้ สิ่งที่เรารู้ก็คือ คนที่มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดของโลกในระยะยาวเช่น บัฟเฟตต์ หรือ โซรอส นั้นก็คือปีละ 20-25% ถ้าเราตั้งเป้าไว้ เท่ากับเขาก็อาจจะหมายความว่าเราเป็นนักชีวจิตที่ตั้งเป้าอยู่เกิน 100 ปี  ซึ่งความเป็นไปได้อาจจะน้อย สำหรับผมเองนั้น ผมคิดเหมือนโซรอสที่ว่า เราไม่ “Invincible” อย่าคิดว่าคุณจะ “ไม่ตาย”  ในการลงทุน…และชีวิต หลักการชีวจิตนั้น เริ่มกลับไปสู่สถานะปกติเหมือนในต่างประเทศแล้ว ในไม่ช้า VI ก็คงจะตามกันไป นั่นก็คือ  มันก็ดีไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ “มหัศจรรย์” อย่างที่เป็นในช่วงนี้    
[/size]



ตอบกลับโพส