ศึกน้ำหวาน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ศึกน้ำหวาน/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ย. 11, 2012 9:23 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor           10 พฤศจิกายน 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ศึกน้ำหวาน
 
   ​ในฐานะของนักลงทุนในตลาดหุ้นแบบ VI ที่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ  ทางธุรกิจ   ผมเห็นว่าการแข่งขันของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชนกำลังมีความเข้มข้นขึ้นมาก  เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ก็คงเป็นเรื่องของการที่คนเห็นว่าธุรกิจเกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศเป็นธุรกิจที่ดีและเติบโตอย่างมั่นคงเห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มนี้และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  พร้อมกับค่า PE ของหุ้นที่สูงลิ่ว  แต่เหตุผลอื่นก็อาจจะมีอีกหลายอย่าง  หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นเรื่องของการ  “แตกหัก”  กันทางธุรกิจที่ทำให้  “หุ้นส่วน”  กลายเป็น  “คู่แข่ง”  ที่  “ไม่เผาผี”  กันแล้ว
   ​ธุรกิจค้าปลีก  โดยเฉพาะที่เป็นร้านค้าขนาดเล็กลงมาดูเหมือนว่าจะมีคนเข้ามาเล่นกันมากขึ้นเพราะนี่เป็นธุรกิจที่ยังโตไปได้ค่อนข้างเร็ว   ดังนั้นข่าวในช่วงนี้จึงมีการเปิดตัวผู้เล่นใหม่ ๆ  เข้ามาเรื่อย ๆ  อย่างไรก็ตาม  ในเชิงของการแข่งขันแล้ว  ผมคิดว่าสถานการณ์คงไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจาก  “การรบได้สิ้นสุดไปแล้ว”  เราเห็นผู้ชนะและผู้แพ้ไปนานแล้วและการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่คงไม่ทำให้ภาพเปลี่ยนไป   แต่ธุรกิจที่น่าจับตามองในขณะนี้ก็คือ  ธุรกิจ  “น้ำหวาน” ซึ่งกำลังเริ่มขึ้นและจะรุนแรงไปจนกว่าจะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในที่สุด  โดยที่ผลิตภัณฑ์หลักที่อยู่ใน  “สปอตไล้ท์”  ก็คือ  น้ำโคล่าและชาเขียว  ที่บริษัทที่กำลังต่อสู้กันต่างก็มีประวัติและศักยภาพทางการ “รบ” หรือการแข่งขันคล้าย ๆ  กันและเก่งพอ ๆ  กัน
   ​เริ่มที่ชาเขียวนั้น  โออิชิ กับ  อิชิตัน  น่าจะเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง  เหตุผลก็คือ  เจ้าของโออิชิเดิมก็คือคุณตันซึ่งเป็นคนสร้างผลิตภัณฑ์โออิชิขึ้นมาโดดเด่นเป็นผู้นำที่ทิ้งห่างคู่แข่งอื่น   ได้ออกมาสร้างอิชิตันเพื่อมาแข่งกับโออิชิ   ดังนั้น  ถ้าจะเปรียบเทียบศักยภาพทางการ  “รบ”  เราก็ต้องพูดว่ากลยุทธ์ของฝ่ายอิชิตันนั้นคงไม่แพ้โออิชิแน่  พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  “แม่ทัพตัน”  นั้นไม่เป็นรองอยู่แล้ว   ประเด็นต่อมาที่ต้องมองก็คือ  เรื่องของทรัพยากรที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ซึ่งพูดหยาบ ๆ   ก็คือเงินของแต่ละฝ่ายที่พร้อมจะทุ่มเข้าไปในการศึกนั้น  ฝ่ายโออิชิก็ชัดเจนว่ามีเงินมากอย่างแทบ  “ไม่จำกัด” เพราะนอกจากบริษัทโออิชิจะเป็นบริษัทใหญ่ที่สามารถระดมเงินในตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว   ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นกลุ่มของ  “เบียร์ช้าง” ซึ่งเป็นตระกูลที่รวยที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย  อย่างไรก็ตาม  อิชิตันเองก็น่าจะมีเงินที่มากพอที่จะทำศึกชาเขียวได้  เพราะคุณตันเองก็เคยขายหุ้นโออิชิให้ทางฝ่ายโออิชิและได้เงินไปมากพอ  ดังนั้น  เรื่องทรัพยากรในการรบคงไม่เป็นปัญหา
   ​ข้อเสียเปรียบของอิชิตันก็คือ  การที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั้นมาทีหลัง  โออิชินั้นได้ยึด  “ชัยภูมิ”  ที่ได้เปรียบเอาไว้แล้วในใจของผู้บริโภค  นั่นก็คือ  ถ้าเป็นชาเขียว  อันดับหนึ่งก็ต้องเป็นโออิชิ  ตามชั้นในร้านค้าปลีกนั้น  โออิชิได้ไปยึดจุดที่ดีและพื้นที่ที่มากกว่าไว้แล้ว  อิชิตันที่มาใหม่ไม่สามารถไปแข่งได้เท่ากันทันที  ดังนั้น  คนก็มีโอกาสที่จะซื้อโออิชิมากกว่าเนื่องจากความ  “คุ้นเคย”  ทั้งในทางใจและกาย  ทางใจก็เช่น  เขารู้สึกว่าโออิชิ  “อร่อยกว่า” ทางกายก็เช่น  มันมีมากและหาง่ายหยิบง่ายเมื่อมีความต้องการ   ความได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะกำลังเกิดขึ้นก็คือ  โออิชิกำลังมีแบบบรรจุขวดแก้วแบบคืนขวดขายตามร้านอาหารที่มีราคาถูกกว่าขวดเพ็ทและแบบกล่อง  ในขณะที่อิชิตันไม่สามารถทำได้เนื่องจากไม่มีโรงงานขวดที่จะป้อนให้   อย่างไรก็ตาม  เราก็ต้องติดตามต่อไปว่า  การขายชาเขียวตามร้านอาหารนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่  เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนไทยจะนิยมกินชาเขียวกับอาหาร
   ​ถ้าจะให้สรุปก็คือ  โออิชิน่าจะได้เปรียบอิชิตันอยู่บ้าง  แต่ก็ยังไม่น่าจะเรียกว่าชนะขาดได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ชานั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นจาก  “ธรรมชาติ”  การสร้างความแตกต่างในใจของผู้บริโภคนั้นทำได้ยากและไม่ติดแน่น  ดังนั้น  การเปลี่ยนรสนิยมเกิดได้เสมอถ้าอีกฝ่ายหนึ่งมีกลยุทธ์ที่ดีพอ  นอกจากนั้น  ในเรื่องของระบบการใช้ขวดแก้วแบบคืนขวดเองนั้น   ผมก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตมันจะยั่งยืนได้แค่ไหน  โดยเฉพาะเมื่อต้นทุนในการเก็บขวดนั้นแพงขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเทียบกับแพคเกตแบบใช้แล้วทิ้ง
   ​หันมาดูเรื่องของ  “สงคราม” น้ำดำหรือโคล่าซึ่งกำลังเปิดศึกกันอย่างรุนแรงดูก็พบว่ามีประวัติคล้าย ๆ  กับเรื่องชาเขียว  นั่นก็คือ  การเปิดตัวของ เอสท์ ซึ่งก็คือผู้ที่ผลิตหรือบรรจุขวด เป้ปซี่  เดิม  ดังนั้น  ทั้งเอสท์และเป้ปซี่ต่างก็น่าจะมีความรู้และความสามารถในการวางกลยุทธ์พอ ๆ  กัน  แทบจะเรียกว่า  “ไก่เห็นตีนงู  งูเห็นนมไก่”  พูดง่าย ๆ  ว่าแม่ทัพของแต่ละฝ่ายต่างก็เคยเป็น  “สหายร่วมรบ” กันมาก่อน  ไม่มีใครรองใครในแง่ของความสามารถในการวางกลยุทธ์
   ​พูดถึงทรัพยากรในเรื่องของเม็ดเงินที่จะสามารถทุ่มเข้ามาทำศึกนั้น  เสริมสุขเองเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ยิ่งใหญ่มานาน  ประกอบกับการที่เป็นหุ้นในกลุ่ม  “เจ้าสัวเบียร์ช้าง”  เรื่องทรัพยากรจึงไม่เป็นรองใครในประเทศไทยอยู่แล้ว   อย่างไรก็ตาม  เป้ปซี่เองนั้น  เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก  การประกอบการในประเทศไทยเองก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับต้น ๆ  ของเครือข่ายเป้ปซี่ทั้งหมด  เรียกว่าเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทแม่เลยทีเดียว   ดังนั้น  เป้ปซี่มีเงินมหาศาลและพร้อมทุ่ม  และคงไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน  ดังนั้น  ศักยภาพในด้านนี้ต้องถือว่าเท่ากัน
   ​ข้อเสียเปรียบของเป้ปซี่ก็คือ  เป้ปซี่เองจะไม่มีแบบบรรจุขวดและคืนขวดที่ตนเองเคยเป็น  “จ้าวตลาด”  โดยเฉพาะที่ขายในร้านอาหาร  ว่าที่จริงมีการกล่าวกันว่าจุดที่แข็งที่สุดของเป้ปซี่เดิมก็คือ  บริษัทมีสายส่งหรือจัดจำหน่ายที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด  สามารถกระจายสินค้าไปที่จุดขายย่อย ๆ  เป็นแสน ๆ  แห่งทั่วประเทศ   แต่ในขณะนี้  จุดที่แข็งที่สุดกลับกลายเป็นของเอสท์  และนี่อาจจะเป็นจุดที่ชี้เป็นชี้ตายในสงครามได้  เพราะน้ำดำในเมืองไทยนั้น   เป็นน้ำที่เรากินพร้อมกับอาหารเป็นจำนวนมาก  และด้วยราคาที่ถูกกว่าอาจจะทำให้เป้ปซี่ต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่โตนี้ไปให้กับเอสท์และโค๊กที่อาจจะเข้าแทรกด้วย  อย่างไรก็ตาม  ประเด็นนี้เราต้องดูกันต่อไปว่าเป้ปซี่จะแก้เกมนี้อย่างไรโดยเฉพาะในระยะสั้นถึงกลางที่ระบบคืนขวดน่าจะยังอยู่ในประเทศไทยต่อไปอย่างน้อยอีกระยะหนึ่ง
   ​ข้อเสียเปรียบของเป้ปซี่ในด้านของ “กายภาพ”  ที่อาจจะหาซื้อได้ยากและมีราคาแพงกว่าในร้านอาหารนั้น  ได้รับการชดเชยโดยความได้เปรียบทางด้านจิตใจ  นั่นก็คือ  “ชัยภูมิ”  ของเป้ปซี่ก็คือ  มันเป็นน้ำดำที่  “อร่อยที่สุด  เพราะมันหวานและซ่า  พอดี”  ในความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยกับการดื่มเป้ปซี่มานานและบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดเหนือกว่าคู่แข่งมาก   จริงอยู่  ในช่วงสั้น ๆ  ที่เป้ปซี่ยังไม่พร้อมในหลาย ๆ เรื่อง ๆ  โดยเฉพาะในด้านของการจัดจำหน่ายและการเข้าถึงร้านอาหารในราคาที่เท่ากับคู่แข่ง  แต่ในระยะต่อไปเมื่อบริษัทสามารถแก้ปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว   ก็เป็นไปได้ที่เป้ปซี่จะสามารถสู้รบและได้ชัยชนะในศึกน้ำดำอีกครั้งหนึ่ง
   ​ข้อสรุปของผมก็คือ  เป็นเรื่องยากที่จะทำนายว่าสุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ชนะในศึกน้ำดำและชาเขียวที่กำลังเกิดขึ้นในระยะนี้  สิ่งที่ผมพอจะคาดได้ก็คือ  สงครามน่าจะทำให้บริษัททั้งหลายบาดเจ็บมากกว่าที่จะได้ผลดี  ในระหว่างที่ยังไม่เห็นผู้ชนะที่ชัดเจน  ผมเองคงจะหลีกเลี่ยงจากการลงทุนในหุ้นของพวกเขา
​[/size]



ตอบกลับโพส