โค้ด: เลือกทั้งหมด
ข้อคิดสำหรับการออมเพื่อเกษียณ (2) วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFPTM
ในสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันเขียนถึงประเด็นเกี่ยวกับการออมเพื่อการเกษียณอายุงานที่อยากฝากให้ทุกท่านพิจารณาสองประเด็น คือ การออมในจำนวนน้อยเกินไป ออมเท่าที่รัฐให้แรงจูงใจทางภาษี ซึ่งสำหรับหลายๆท่าน ออมเพียงเท่านั้นไม่เพียงพอต่อการอยู่อย่างสุขสบายหลังเกษียณ และประเด็นเกี่ยวกับนโยบายการลงทุนที่อนุรักษนิยมจนเกินไป ซึ่งแม้จะออมมาก แต่เงินเติบโตน้อย ก็อาจทำให้ไม่เพียงพอเช่นกัน
ในวันนี้จะขอเสนอข้อคิดอีกสามประเด็นค่ะ
ประเด็นที่สาม คือ การรับเงินเงินงวดๆในลักษณะคล้ายเงินบำนาญ ในสมัยก่อนเราไม่สามารถทำได้เลย เมื่ออายุครบเกษียณ ก็ออกจากกองทุนไปพร้อมรับเงินก้อนทั้งหมด ซึ่งคนจำนวนมาก ไม่เข้าใจเรื่องการลงทุน ไม่สามารถลงทุนเองได้ ทำให้เสียโอกาสในการลงทุนไป
ดิฉันจำได้ว่าเคยนำเสนอที่จะจัดการกองทุนหลังเกษียณให้กับ กบข.ไปเมื่อประมาณสิบปีก่อน และเสนอจะจ่ายคืนให้กับสมาชิกเป็นงวดๆให้เหมือนกับเงินบำนาญ
มาบัดนี้ การคงเงินอยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหลังเกษียณ และให้สามารถรับเงินเป็นงวดๆกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว โดยจะมีการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้ผู้ออมสามารถแสดงเจตนาขอรับเงินเป็นงวดๆได้ แต่กำหนดว่าได้เฉพาะผู้ออมที่ออกจากงานโดยมีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปี ผู้ที่เกษียณก่อนอายุ 55 ปีก็จะไม่มีสิทธิ์นี้ ซึ่งดิฉันเสียดาย
การขอรับเงินเป็นงวดๆควรจะทำได้แม้จะเกษียณก่อนอายุ 55 ปีก็ตาม เงินของเขา เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าจะขอคืนในลักษณะไหน เข้าใจว่าการกำหนดอายุ 55 ปี อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าผู้ออมจะออกจากงานตั้งแต่อายุน้อย แล้วขอรับเงินเร็ว เงินอาจจะหมดไปตอนอายุไม่มาก พอชราภาพจริงไม่มีเงิน ก็จะกลายเป็นภาระของรัฐไปอีก ถ้าห่วงเช่นนั้น ก็บังคับว่ากรณีขอรับเป็นงวด หากอายุไม่ถึง 55 ปี ให้จ่ายได้งวดละไม่เกิน 5% ของเงินทั้งหมด แต่หากอายุเกิน 55 ปี จะรับงวดละเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับผู้ออม และเสนอว่าหากไม่ระบุว่าจะรับงวดละเท่าใด ให้จ่ายงวดละ 5% จนกว่าผู้ออมจะแจ้งเปลี่ยนเป็นอื่น
จ่ายปีละ 5% โดยมีสมมุติฐานว่า สำหรับคนทั่วไป หากเกษียณอายุ 60 ปี จะได้งวดเงินรวม 20 ปี ซึ่งน่าจะเป็นอายุเฉลี่ยของคนทั่วไปค่ะ
ปัจจุบัน การรับเงินงวดสามารถทำได้กับการประกันชีวิตแบบ annuity ซึ่งก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าจะให้มีการขายกรมธรรม์ประเภทนี้ได้ คนโสด หรือคนที่ไม่มีทายาท หรือคาดว่าจะไม่มีผู้ดูแล ในยามชราภาพ และไม่แน่ใจว่าเงินที่ออมอยู่จะพอสำหรับเลี้ยงตัวเองไปจนจากไปหรือไม่ ควรจะศึกษาการทำประกันชีวิตแบบนี้ค่ะ ตอนนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่คาดว่าจะมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิตของคนไทยมากขึ้น
สำหรับผู้มีความมั่งคั่งสูงอยู่แล้ว คงไม่มีปัญหา จะมีปัญหาก็จะแตกต่างไปคือเป็นเรื่องของการส่งผ่านความมั่งคั่งไปยังรุ่นต่อๆไป
ข้อคิดประการที่สี่ คือ ความสามารถในการโอนย้ายกองทุนเพื่อการเกษียณอายุจากกองหนึ่งไปยังอีกกองหนึ่ง จะถือเป็นสุดยอดแห่งนโยบายการส่งเสริมให้คนออมเพื่อการเกษียณอายุงานเลยทีเดียว เช่น หากข้าราชการลาออกจากราชการไปทำงานเอกชน ย่อมอยากจะนำเงินที่ออมไว้ในกองทุน กบข.ไปออมต่อในระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือในทางกลับกัน คนที่ทำงานภาคเอกชน หากต้องการย้ายเข้าไปในภาคราชการ ก็สามารถโอนย้ายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปออมต่อในกองทุนบำเหน็จบำนาญได้
นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่เกษียณอายุงานก่อน หรือต้องออกจากงานด้วยเหตุอื่นใด ยังสามารถโอนย้ายจากกองทุน กบข.หรือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพหรือ RMFได้ ทำให้ไม่ต้องรับเงินที่ออมมาเป็นก้อนใหญ่เมื่อออกจากงาน ทั้งๆที่ยังอยากออมต่อ และยังถูกทำโทษให้เสียภาษีเงินได้จากเงินออมก้อนนั้นอีก
ณ ปัจจุบัน ระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุงานในประเทศไทยยังแยกเป็นส่วนๆ และยังไม่สามารถโอนย้ายได้ค่ะ แต่มีแนวคิดที่จะทำ ซึ่งดิฉันเห็นว่าไม่มีอะไรยากเกินกว่าความพยายาม หากได้ทุ่มเททรัพยากรลงไปเพียงพอ และทุกฝ่ายช่วยกันโดยมีจุดมุ่งหมายว่า ต้องการให้คนที่เกษียณอายุงานแล้วมีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น เราต้องเอื้อให้สามารถโอนย้ายได้ในอนาคตอันใกล้นี้ค่ะ
มิเช่นนั้น หากเกิดวิกฤติขึ้นมาอีกในอนาคต ก็จะมีคนตกงานที่ได้เงินก้อนมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ไม่สามารถออมต่อเพื่อเอาไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิตโดยไม่ถูกทำโทษ และ ไม่เอื้อให้มีการย้ายงานจากภาคเอกชนไปอยู่ภาครัฐ ตามที่รัฐต้องการเห็น
ข้อคิดประการที่ห้า คือ ทำอย่างไรจะให้คนเข้าไปอยู่ในระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุงานให้มากที่สุด ตอนนี้ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีการออมเพื่อการเกษียณอายุ เช่น ผู้ทำการค้าประเภทพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย กลุ่มทำงานอิสระ ไม่สังกัดองค์กร เช่น สถาปนิก นักร้อง นักแสดง นักกีฬาอาชีพ ผู้ขับขี่รถรับจ้างสาธารณะ เช่น แท้กซี่ ตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์ เกษตรกร ฯลฯ ซึ่งรัฐเคยมีนโยบายให้แรงจูงใจในการออมในลักษณะกองทุนการออมแห่งชาติ เข้าใจว่าตอนนี้ยังทบทวนนโยบายอยู่
การดำเนินการในเรื่องการออมเพื่อการเกษียณอายุนี้ ประเทศส่วนใหญ่จะดำเนินการในรูปของ Defined Contribution คือ มีการออมและมีการให้เงินสมทบไม่ว่าจะจากนายจ้าง หรือจากรัฐ โดยเงินออมและเงินสมทบจะถูกนำไปลงทุนโดยผู้ออมต้องรับความเสี่ยงเอง การที่จะรับประกันว่าผู้ออมจะต้องได้ผลตอบแทนแน่นอนในอัตราเท่าใด ซึ่งเปรียบเสมือนการประกันจำนวนเงินที่จะได้ เหมือนระบบบำนาญในสมัยก่อนนั้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่กำลังทยอยเลิก เพราะเป็นภาระของรัฐมากเกินไป และผู้ออมไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง และอาจใช้ชีวิตด้วยความประมาทด้วย
ในเรื่องการลงทุน ต้องให้เรียนรู้ด้วยตัวเองจึงจะเก่ง เมื่อเก่งแล้วก็สามารถดูแลตัวเองให้อยู่รอดได้ ต้องเชื่อในความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ค่ะ
หวังว่าบทความทั้งสองตอนนี้จะช่วยจุดประกายให้ท่านผู้อ่านปรับปรุงการออมเพื่อการเกษียณอายุงานของท่านและของคนรอบข้างให้ดีและเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อความสุขสบายหลังเกษียณค่ะ