โค้ด: เลือกทั้งหมด
เทคนิคการออมเพื่อเกษียณ
วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ CFPTM
หลังจากที่เขียนบทความเกี่ยวกับข้อคิดสำหรับการออมเพื่อเกษียณไปสองสัปดาห์ มีผู้อ่านจำนวนมากอยากทราบข้อมูลและเทคนิคการออมเพื่อเกษียณ ดิฉันคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านจำนวนมาก จึงอยากจะขอนำมาแนะนำโดยสังเขปในวันนี้
ทำอย่างไรถ้ารู้ตัวว่าเริ่มออมช้าเกินไปเสียแล้ว?
รู้ตัวว่าช้ายังดีกว่าไม่รู้ตัวเลยค่ะ ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยเพิ่งทำการสำรวจพฤติกรรมการออมเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณของคนกรุงเทพฯ พบว่า คนในวัยแรงงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณถึง 85% โดยกลุ่มข้าราชการเป็นกลุ่มที่ตระหนักถึงการออมเพื่อการเกษียณมากที่สุด คือตระหนักทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ของกลุ่มที่สำรวจ
กลุ่มที่มีการตระหนักถึงการออมเพื่อวัยเกษียณน้อยทีสุดคือกลุ่มผู้รับจ้างและเกษตรกร โดยมีสัดส่วนที่ให้ความสำคัญต่อการออมเพื่อเกษียณ 70% ส่วนผู้ที่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการออมเพื่อเกษียณนั้น ให้เหตุผลว่ายังมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายปัจจุบัน 20% และยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการออมเพื่อวัยเกษียณ 10%
อันที่จริงแล้ว หากไปอธิบายถึงเรื่องค่าเงินในอนาคต ก็อาจจะดูซับซ้อนจนเกินไป ทำให้คนสับสนได้ เทคนิคการอธิบายและคำนวณเงินที่จะใช้ให้เข้าใจง่ายๆโดยไม่ต้องมีเรื่องค่าของเงินเข้ามาเกี่ยวข้องคือ หลักการที่ว่าต้องการใช้เท่าใดก็ต้องเก็บเท่านั้น
ยกตัวอย่าง หากต้องการมีเงินใช้เดือนละ 20,000 บาท ไปอีก 20 ปี หรือ 240 เดือน หลังเกษียณ ก็ต้องมีเงินอย่างน้อย 4.8 ล้านบาท และถ้าจะเก็บออมเดือนละ 20,000 บาทเพื่อให้ได้เงินก้อน 4.8 ล้านบาท ก็จะใช้เวลา 20 ปี (ในที่นี้ไม่คำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ โดยสมมุติว่าอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะช่วยคงอำนาจซื้อ)
จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า คนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายเงินออมเพื่อการเกษียณเอาไว้ที่ 2 ล้านบาท ซึ่งดิฉันเห็นว่าไม่เพียงพอแน่นอนค่ะ แม้จะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่าเงินเฟ้อก็ตาม
ถ้ารู้ตัวว่า ณ อัตราการออมปัจจุบันไม่สามารถออมได้ถึง 4.8 ล้านบาท สิ่งที่ต้องทำคือ ออมเพิ่มขึ้น หรือ เกษียณให้ช้าลง อาจทำงานพิเศษต่อจนถึงอายุ 65 ปี เพื่อหารายได้เพิ่ม หรือ พยายามหาผลตอบแทนเพิ่มจากการลงทุนค่ะ
อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ เริ่มช้า ก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มเลย หรือพยายามออมเพิ่มขึ้น ประหยัดมากขึ้น ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง
นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพให้ดี ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้มีเงินออมน้อย เพราะรายจ่ายจะลดลงไปมากเลยทีเดียว หากท่านไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหลังเกษียณ
และเทคนิคอีกอย่างหนึ่งคือ ทำประกันชีวิต สำหรับท่านที่มีภาระในการดูแลผู้อื่น ควรจะทำแบบรับเงินคืน หากท่านหากไม่มีภาระใดๆ ให้เลือกทำเฉพาะแบบรับความคุ้มครอง ไม่ต้องทำแบบรับเงินคืน เนื่องจากไม่มีความจำเป็น และเบี้ยประกันต่ำกว่า
ต้องออมเป็นสัดส่วนเท่าไรจึงจะเพียงพอ ?
ข้อนี้ไม่มีกฎตายตัว แต่ดิฉันเห็นว่าขั้นต่ำควรจะประมาณ 10% และขั้นสูงอาจจะถึง 30 หรือ 35% ของรายได้ จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจมีการออมในสัดส่วน 6-10%ของรายได้เท่านั้น
ในช่วงที่รายได้ยังไม่สูง การออม 10% ก็เป็นการเหมาะสม เพราะออมมากกว่านั้น อาจทำให้ต้องอดอยาก แต่เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น เราควรจะออมเพิ่ม ไม่ควรจะนำรายได้ส่วนเพิ่มไปใช้จ่ายจนหมด โดยเฉพาะเมื่อเราหมดภาระในการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เราจะมีเงินที่เราเคยต้องเก็บเพื่อไปผ่อนอยู่ประมาณ 20-30% ของรายได้ ส่วนนี้คือส่วนที่ควรจะออมเพิ่ม
ผู้ที่มีรายได้สูงมากๆ อาจจะไม่สามารถออมได้ถึง 50% ของรายได้ เพราะภาระภาษีจะสูงขึ้นด้วย รายได้สุทธิหลังภาษีของผู้มีฐานภาษีขั้นสูงสุดคือประมาณ 63-65% ของรายได้ การออมถึง 50% ก็แปลว่ามีเงินกันไว้ใช้จ่ายเพียง 13-15% ของรายได้เท่านั้น ซึ่งดิฉันเห็นว่าไม่เพียงพอ
ซึ่งก็สอดคล้องกับการสำรวจค่ะ กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหนึ่งบอกว่ายินดีออมเพิ่มเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น
เมื่อใดควรเริ่มออมเพื่อการเกษียณ?
ดิฉันเขียนและพูดมาหลายสิบปีแล้วว่า เริ่มต้นทำงานก็ควรจะเริ่มออมและลงทุนเพื่อการเกษียณเลย ในช่วงที่ยังไม่มีภาระในการผ่อนเงินกู้อื่นๆ คือ เงินกู้ซื้อรถ และซื้อบ้าน ก็ควรจะออมในสัดส่วนสูงกว่า เมื่อเทียบกับการออมในวัยที่มีภาระในการใช้จ่ายสูง เช่นในวัย 30-40 ปี ซึ่งอาจจะออมเพื่อการเกษียณเพียง 5% ของรายได้ และเมื่อภาระการผ่อนรถผ่อนบ้านลดลง ก็กลับไปออมเพิ่มขึ้นได้
เวลาคำนวณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ต้องคำนวณเพื่อคนอื่นหรือไม่ ?
อันนี้ขึ้นอยู่กับท่านค่ะ ถ้าท่านมีภาระที่ต้องดูแลผู้อื่น เช่น ภรรยา หรือสามี หรือหลาน ท่านก็ควรจะคำนวณเผื่อเอาไว้ เราจะพูดกันอยู่เสมอๆในแวดวงนักวางแผนการเงินว่า ต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีด้วย มีค่าขนมไว้ให้หลานๆบ้าง มีเงินไปทำบุญ หรือไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อนฝูง ฯลฯ
เพราะฉะนั้น ในการประมาณการค่าใช้จ่ายหลังเกษียณ ต้องอย่าลืมค่าใช้จ่ายกลุ่มนี้ด้วยนะคะ
ถ้าจะเกษียณให้เกษม ต้องมีเงินประมาณ 10 ล้านบาทขึ้นไป อยากให้คนไทยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10 ล้านบาทมากกว่า 2 ล้านบาทค่ะ ถ้ามีเงิน 10 ล้านบาท ลงทุนได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี ในระยะเวลา 25 ปี จะสามารถใช้เงินได้เดือนละ 58,563 บาท ถือว่าน่าจะทำให้อยู่ได้อย่างสบายพอสมควร
เชื่อไหมคะว่าเป็นเศรษฐีเงินล้านไม่ยากเลย เก็บเงินเพียงปีละ 5,000 บาท ลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เป็นเวลา 32 ปี ก็จะได้เงิน 1.05 ล้านบาท สิ่งสำคัญคือการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดีนั่นเอง
การลงทุนจึงเป็นเรื่องสำคัญ หนังสือเล่มต่อไปของดิฉันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนค่ะ โปรดติดตามในปีหน้า