โค้ด: เลือกทั้งหมด
การเป็น Value Investor ที่มุ่งมั่นนั้นหมายความว่าเรามองการซื้อหุ้นเหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ นี่คือหลักคิดที่ VI โดยเฉพาะที่เป็นสายของการลงทุนระยะยาวแนวฟิสเชอร์หรือบัฟเฟตต์ยึดถือ ดังนั้นสำหรับคนเหล่านี้แล้ว พวกเขาจึงมักจะคิดถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทที่เสนอขายต่อลูกค้าและสังคมนอกเหนือไปจากกำไรที่บริษัทจะได้รับด้วย พูดง่ายๆ พวกเขาไม่อยากจะทำธุรกิจที่มีผลกระทบทางลบต่อลูกค้าและสังคมโดยรวมแม้ว่ามันจะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้งดงามกว่าปกติ ตัวอย่างง่ายๆ ของธุรกิจแบบนี้ก็เช่นสิ่งที่เรียกกันว่า “ธุรกิจบาป” ทั้งหลาย เช่น การขายบุหรี่ ค้าอาวุธ หรือบริการทางเพศ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม VI บางคนอาจจะอยากลงทุนในธุรกิจที่เสริมสร้างความเจริญและความดีงามให้แก่ลูกค้าและสังคมแม้ว่าธุรกิจนั้นอาจจะไม่ได้ทำกำไรมากนัก ขอเพียงให้มีผลตอบแทนพอสมควรเขาก็ยินดีที่จะลงทุนด้วย ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเกี่ยวกับการให้ความรู้ ธุรกิจที่ช่วยให้คนที่ยากจนหรือเสียเปรียบสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นต้น นอกจากเรื่องของตัวธุรกิจแล้ว ทัศนคติของผู้บริหารก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นด้วย นั่นก็คือ VI อาจจะอยากหรือไม่อยาก “ทำธุรกิจ” กับคนที่คิดเหมือนหรือแตกต่างจากตนในบางเรื่องที่เขาคิดว่าสำคัญ
ธุรกิจกลุ่มแรกที่ผมจะพูดถึงที่ “จิตสำนึก” เข้ามามีส่วนต่อการตัดสินใจของ VI บางคนก็คือ ธุรกิจที่ “ผิดศีล” ซึ่งหลักๆ ก็คือ ศีลห้าในศาสนาพุทธ VI บางคนที่ “เคร่งศาสนา” มากก็อาจจะไม่ลงทุนในธุรกิจที่ทำผิดศีลห้าได้แก่การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด และการดื่มสุราและของมึนเมา ซึ่งธุรกิจที่จะเข้าข่ายน่าจะรวมถึงธุรกิจอาหารที่ทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ต้องฆ่าสัตว์ ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายเหล้า เบียร์ ไวน์ ซึ่งนี่น่าจะรวมถึงร้านค้าปลีกทั้งหลายที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการเป็นผู้ค้าปลีกที่เหล้าเบียร์เป็นเพียงส่วนน้อยของสินค้าที่ขายนั้น VI บางคนก็อาจจะมองว่าไม่ใช่เป็นประเด็นใหญ่ ว่าที่จริงบริษัทหรือร้านที่ขายเองนั้นก็ไม่ได้ดื่มเองหรือส่งเสริมให้คนดื่ม การขายก็เป็นเพียงแต่การบริการให้ความสะดวกกับลูกค้า เหนือสิ่งอื่นใด บาปของการดื่มสุราหรือเบียร์นั้นก็ไม่น่าจะรุนแรงเมื่อเทียบกับบาปจากการผิดศีลข้ออื่น โดยเฉพาะถ้าคนดื่มนั้นไม่ได้ดื่มมากจนครองสติไม่อยู่
ธุรกิจบางอย่างนั้นอาจจะไม่ได้ผิดศีลแต่มีส่วนในการทำลายสุขภาพทางกายและใจของคนที่บริโภคหรือใช้บริการ ตัวอย่างน่าจะรวมถึงบุหรี่ที่เป็นโทษต่อคนสูบมาก ลอตเตอรี่หรือคาสิโนที่มักทำให้คนเล่นติดและบางครั้งทำให้เสียทรัพย์สินจนทำให้เกิดปัญหาทางการเงินและครอบครัวตามมา นอกจากนั้น บางคนก็อาจจะมองไปถึงเกมคอมพิวเตอร์ที่เด็กชอบเล่นและบางคนก็ติดจนเป็นปัญหาให้กับตัวเด็กและพ่อแม่ด้วย นี่ก็เช่นกัน ดีกรีหรือระดับของการทำลายสุขภาพทางกายและใจก็เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา VI บางคนอาจจะไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหมด บางคนก็ดูว่า ถ้าเป็นเรื่องของบุหรี่หรือคาสิโนจะไม่สนใจลงทุน แต่อะไรที่ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นสินค้าอันตรายจริงๆ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงบ้างสำหรับบางคนแต่ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ของสังคม เช่น ลอตเตอรี่หรือเกม แบบนี้ก็พอลงทุนได้ เหนือสิ่งอื่นใด การเล่นหุ้นหรือการลงทุนในตลาดเองนั้นก็เป็นความเสี่ยงอยู่ไม่น้อยไปกว่ากัน
ธุรกิจที่ช่วยให้คนและสังคมดีขึ้นนั้นผมคิดว่า VI ส่วนใหญ่น่าจะอยากลงทุนมากกว่าธุรกิจอย่างอื่นที่มีผลตอบแทนดีพอๆ กัน ธุรกิจเกี่ยวกับการให้ความรู้หรือธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษานั้นดูเหมือนจะเข้าข่ายนี้โดยไม่มีข้อสงสัย ดังนั้น กิจการเกี่ยวกับหนังสือ สำนักพิมพ์ หรืออาจจะรวมถึงหนังสือพิมพ์ น่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีถ้าผลตอบแทนที่คาดหวังนั้นสูงพอเป็นหุ้น VI ได้ VI บางคนหรืออาจจะส่วนใหญ่ก็น่าจะมองว่าธุรกิจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลและยานั้นเป็นธุรกิจที่พึงประสงค์ในการลงทุน อย่างไรก็ตาม VI บางคนกลับมองตรงกันข้ามว่า ธุรกิจโรงพยาบาลบางแห่งที่มีกำไร “มโหฬาร” ซึ่งขับเคลื่อนราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่วนั้น เป็นหุ้นที่เขาจะไม่ลงทุน เพราะเขารู้สึกหรือมี “จิตสำนึก” ว่า กำไรที่มากกว่าปกติของโรงพยาบาลนั้น เกิดจากการคิดค่ารักษาพยาบาลที่สูงมากซึ่งเป็นเหมือนกับการ “ขูดรีด” คนที่กำลังเจ็บ จริงอยู่ ถ้าคุณไม่มีเงินคุณก็ไม่ต้องเข้ามารักษา แต่นี่ก็เหมือนกับเป็นการกีดกันให้คนจนต้องได้รับบริการทางการแพทย์ที่ด้อยลงไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด โรงพยาบาลเอกชนที่คิดค่าบริการแพงและกำไรมาก สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ใช่ธุรกิจที่เขาอยากลงทุนเนื่องมาจาก “จิตสำนึก” เลย
จิตสำนึกอีกแบบหนึ่งที่อาจจะมีผลต่อการลงทุนก็คือ จิตสำนึกต่อผลประโยชน์ของสังคมหรือประเทศชาติ นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทได้สิทธิประโยชน์จากรัฐ เช่น ได้รับสัมปทานผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดในกิจการสาธารณูปโภค เช่น โทรคมนาคม คมนาคม พลังงาน และอื่นๆ ประเด็นไม่ใช่ว่าแค่เป็นการได้รับสิทธิหรือสัมปทาน แต่เป็นเรื่องที่บริษัทอาจจะได้รับมันมาในราคาหรือต้นทุนที่ต่ำมากและบริษัทสามารถตั้งราคาขายบริการแก่ประชาชนในราคาที่สูงซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรมหาศาลโดยไม่ต้องแข่งขันหรือใช้ความพยายามอะไรนัก ผลประโยชน์ของประชาชนหรือประเทศชาติเสียหายไปแต่บริษัทได้กำไรมากเกินไปโดยที่แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยนั้น มันอาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกหรือจิตสำนึกแก่คนที่มองว่า นี่ไม่ใช่ธุรกิจที่เขาอยากทำเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นที่ทำกำไรมากเพราะความสามารถของบริษัทในการเสนอสินค้าที่ดีกว่าคู่แข่ง ไม่ใช่กำไรมากเพราะ “อำนาจรัฐ”
จิตสำนึกที่เกี่ยวกับการลงทุนเรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ ทัศนคติ มุมมอง หรือความเชื่อ หรือนิสัยของผู้บริหารหรือเจ้าของ กับตัว VI เอง นี่เป็นเรื่องที่เป็น “ส่วนตัว” จริง ๆ ระหว่าง VI กับเจ้าของหรือผู้บริหาร ตัวอย่างเช่น VI คนหนึ่งอาจจะมีความคิดทางการเมืองแบบหนึ่งและมีความรู้สึกที่รุนแรง เขาก็อาจจะไม่อยากลงทุนในบริษัทที่ผู้บริหารหรือเจ้าของมีแนวความคิดที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงและได้แสดงให้ VI เห็นหรือเป็นที่รู้กันทั่วไป ประเด็นอาจจะอยู่ที่ว่า VI อาจจะรู้สึกว่าผู้บริหารที่มีความคิดแบบนั้นในทางการเมือง ก็น่าจะมีความคิดอย่างอื่นที่ไม่ถูกต้องหรือสอดคล้องกับตนเองไปด้วย อย่าลืมว่าคนที่มีความคิดต่างกันโดยเฉพาะในเรื่องของการเมืองนั้น มักจะคิดว่าความคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง “ไม่มีเหตุผล” ดังนั้น พวกเขาจึงคิดว่าเขาไม่อยากลงทุนด้วยถ้ากิจการมันไม่ดีเด่นจริงๆ
เรื่องของจิตสำนึกนั้นยังน่าจะมีอีกมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคิดหรือรู้ว่าผู้บริหารเป็น “คนโกง” จิตสำนึกก็อาจจะบอกว่า เราไม่อยากลงทุนหรือเกี่ยวข้องกับคนแบบนี้แม้ในใจอาจจะคิดว่ามีโอกาสทำกำไรจากตัวหุ้นได้ง่ายๆ เนื่องจากหุ้นตัวนั้นมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมาก แต่ประเด็นก็คือ เราคิดว่าเราจะรู้สึก “ผิด” ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัทหรือคนแบบนั้น จิตสำนึกจะบอกว่า “เราไปหาหุ้นตัวอื่นดีกว่า” เหนือสิ่งอื่นใด มีหุ้นอีกจำนวนมากที่เราสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากกว่า ผมเองไม่รู้ว่า VI แต่ละคนมีจิตสำนึกอย่างไรบ้างเกี่ยวกับการลงทุน บางคนอาจจะไม่มีเลย นั่นคือ การลงทุนของเขานั้น อิงกับเรื่องของคุณค่าและราคาเป็นหลัก บางคนมีน้อยเฉพาะในบางเรื่อง และบางคนก็อาจจะมีมากขึ้นซึ่งอาจจะทำให้พลาดโอกาสลงทุนในกิจการที่มีคุณสมบัติในการทำกำไรที่ดีเยี่ยมบางบริษัท แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ผมไม่คิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องตัดจิตสำนึกออกจากการลงทุน นั่นก็คือ ถ้าลงทุนแล้วไม่สบายใจก็อย่าลงทุน เท่านั้นเอง