โค้ด: เลือกทั้งหมด
การจัดการปัญหาการคลังอย่างไม่เบ็ดเสร็จของสหรัฐ
เดิมทีผมตั้งใจจะเขียนบทความตอนสุดท้ายเกี่ยวกับนโยบายการเงินของสหรัฐ แต่เรื่องหน้าผาการคลังของสหรัฐกำลังเป็นที่สนใจอย่างมากในขณะนี้ จึงจะขอเขียนถึงเรื่องการจัดการปัญหาการคลังอย่างไม่เบ็ดเสร็จของสหรัฐก่อน และจะเขียนบทสรุปนโยบายการเงินในครั้งต่อไปครับ หากอ่านข่าวและดูการปรับตัวขึ้นของหุ้นทั่วโลกก็จะทำให้สรุปได้ว่าสหรัฐสามารถแก้ปัญหาการคลังไปได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าการผ่านกฎหมายโดยวุฒิสภาจะเลยเส้นตายเล็กน้อย กล่าวคือร่างกฎหมายผ่านออกมาตอนตี 2 ของวันที่ 1 มกราคมและต่อมาในคืนเดียวกันสภาล่างก็ได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงที่ท่วมท้น ทำให้ประธานาธิบดีโอบามาสามารถลงนามเห็นชอบกฎหมายดังกล่าวได้ในคืนเดียวกันและสามารถเดินทางกลับไปพักผ่อนกับครอบครัวต่อที่เกาะฮาวาย
สาระของกฎหมายที่หลีกเลี่ยงหน้าผาทางการคลังนั้นมีมากมาย ซึ่งสื่อต่างๆ ก็ได้นำเสนอข้อมูลไปอย่างครบถ้วนแล้ว ผมจึงขอกล่าวถึงประเด็นสรุปที่ผมเห็นว่าสำคัญดังนี้
1. เป็นการหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นภาษีและลดรายจ่ายที่มากถึง 4% ของจีดีพี หากไม่สามารถตกลงกันได้และข้อตกลงที่เกิดขึ้นทำให้มีการปรับขึ้นภาษีกับคนรวยเป็นหลัก แต่คนทำงานทั่วไปก็จะต้องจ่ายภาษีเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้น ทำให้รวมทั้งสิ้นจะมีการรัดเข็มขัดทางการคลังประมาณ 1.25-1.6% ของจีดีพี ทั้งนี้เมอร์ริล ลินช์ จึงมองว่าจีดีพีของสหรัฐในไตรมาส 1 อาจโตได้เพียง 1% จากที่ขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
2. ประธานาธิบดีโอบามาเป็นผู้ได้ชัยชนะทางการเมือง เพราะสามารถกดดันให้พรรครีพับลิกันต้องเปลี่ยนจุดยืนที่ยึดมานานกว่า 4 ปีโดยยอมให้ปรับขึ้นภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้รวมเกินกว่า 450,000 ดอลลาร์ต่อปี (หรือคนโสดที่มีรายได้เกิน 400,000 ดอลลาร์ต่อปี) จากที่เดิมตั้งเป้าเอาไว้ที่ 250,000 ดอลลาร์ และ 200,000 ดอลลาร์ตามลำดับ
3. บางคนมองว่าการที่ทั้งสองสภาผ่านร่างกฎหมายที่เป็นข้อตกลงอย่างท่วมท้น โดยได้เสียงจำนวนมากจากพรรครีพับลิกัน ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองของสหรัฐจะสามารถทำงานร่วมกันเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาวินัยทางการคลังได้ในอนาคต
แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองต่างมุมว่าข้อตกลงเมื่อวันที่ 1 ม.ค.นั้นเป็นข้อตกลงที่น่าผิดหวังและจะทำให้เกิดปัญหายืดเยื้อ ตลอดจนเป็นการสะท้อนว่ากระบวนการทางการเมืองของสหรัฐขาดวุฒิภาวะที่จะแก้ปัญหาที่รากเหง้า ทำให้อนาคตทางการคลังของสหรัฐน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ซึ่งกลุ่มนี้มีแนวคิดที่พอจะสรุปได้ดังนี้
๐ ข้อตกลงเมื่อวันที่ 1 ม.ค.นั้นเป็นข้อตกลงชั่วคราวที่เป็นการผัดวันประกันพรุ่ง (Kicking the can down the road) ไปอีก 2 เดือน ซึ่งเมื่อถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ สหรัฐจะต้องเผชิญปัญหาใหญ่ 2 เรื่องคือ 1. มาตรการตัดลดการใช้จ่ายของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ (ปีละ 1 แสนล้านดอลลาร์เป็นเวลา 10 ปี) ที่ถูกชะลอเอาไว้เพียง 2 เดือนต้องมาหาข้อตกลงกันใหม่ และ 2. รัฐบาลสหรัฐก่อหนี้เต็มเพดานที่สภาอนุมัติแล้วที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมาและปัจจุบันกระทรวงคลังสหรัฐกำลังใช้มาตรการพิเศษ (โยกย้ายเงินจากส่วนหนึ่งไปจ่ายอีกส่วนหนึ่ง) เพื่อมิให้รัฐบาลสหรัฐต้องพักชำระหนี้ แต่มาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการพักชำระหนี้ไปได้อีกไม่เกิน 2 เดือน ทำให้สหรัฐจะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง ในปลายเดือนกุมภาพันธ์อีกครั้ง
๐ การที่พรรครีพับลิกันยอมสนับสนุนข้อตกลงดังกล่าวก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าปล่อยให้อัตราภาษีปรับเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติสำหรับประชาชนทุกคน แต่เมื่อยอมให้อัตราภาษีปรับขึ้น (แม้จะเป็นภาษีคนรวย) ไปแล้ว รีพับลิกันมองว่าต่อไปนี้จะแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวและจะสามารถกดดันให้ประธานาธิบดีโอบามาต้องยอมปรับลดงบประมาณโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการประกันสุขภาพและประกันสังคม กล่าวคือหากประธานาธิบดีโอบามาไม่ยอมลดรายจ่าย รีพับลิกันก็จะไม่ยอมปรับเพิ่มเพดานหนี้ให้ ทำให้เชื่อว่าโอบามาจะตกในที่นั่งลำบาก แต่ประธานาธิบดีโอบามาก็ได้แสดงจุดยืนตอบโต้อย่างแข็งกร้าวว่าจะต้องมีการเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้นตราบเท่าที่เขายังเป็นประธานาธิบดีต่อไปอีก 4 ปี
๐ ที่สำคัญที่สุดคือนักการเมืองสหรัฐยังไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานทางการคลังของประเทศเลย เพราะปัญหาหลักคือการใช้จ่ายเกินตัว กล่าวคือปัจจุบันรัฐบาลกลางเก็บภาษีเท่ากับ 18% ของจีดีพี แต่ใช้เงินงบประมาณเท่ากับ 25% ของจีดีพีต่อปี และข้อตกลงที่กล่าวข้างต้นนั้นแม้จะถูกประกาศออกมาว่าได้ช่วยหลีกเลี่ยงความถดถอยทางเศรษฐกิจโดยการไม่ปรับขึ้นภาษีสำหรับประชาชน 99% ของประเทศ แต่ก็ถูกประเมินโดยสำนักงานงบประมาณของรัฐสภา (Congressional Budget Office-CBO) ว่าจะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า (จากปัจจุบันที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 100% ของจีดีพี)
กล่าวโดยสรุปคือนักการเมืองยังไม่ได้เริ่มแก้ปัญหาการคลังของประเทศเลย แต่การเจรจาอย่างคร่ำเครียดบวกกับการเผชิญหน้ากันหลายครั้งหลายคราว ซึ่งทำให้เกิดความแตกแยกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้น น่าจะยิ่งทำให้การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง นักวิเคราะห์บางคนฟันธงอีกด้วยว่าสิ่งที่ทำอยู่ในขณะนี้นั้นมองได้ว่าเป็นการเดินมาผิดทางด้วยซ้ำ เช่น
นาย David Brooks คอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ อ้าง CBO ว่ารายจ่ายด้านประกันสุขภาพและประกันสังคมจะทำให้หนี้สาธารณะสหรัฐเพิ่มจากปัจจุบันที่ 74% ของจีดีพี (โดยนำเงินประกันสังคมที่มีอยู่ 5 ล้านล้านดอลลาร์หักออกจากหนี้สาธารณะที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์) เป็น 90% ในปี 2012 และเป็น 247% ของจีดีพีในปี 2042 ทั้งนี้รายจ่ายรัฐสวัสดิการและภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะจะเท่ากับรายได้ของรัฐบาลกลางทั้งหมด (กล่าวคือไม่เหลือเงินที่จะจัดสรรให้กระทรวงต่างๆ เพื่อนำไปใช้บริหารประเทศ) ทั้งนี้เพราะระบบประกันสุขภาพของสหรัฐปัจจุบันกำหนดให้สามี-ภรรยาโดยเฉลี่ยต้องจ่ายเงิน 109,000 ดอลลาร์เข้ากองทุนประกันสุขภาพ ในขณะที่จะได้รับประโยชน์จากการประกันสุขภาพประมาณ 343,000 ดอลลาร์ ซึ่งนาย Brooks มองว่าประชาชนเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขดังกล่าวโดยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนักการเมืองให้รักษาเงื่อนไขดังกล่าวเอาไว้ต่อไปอีก ซึ่งจะตกเป็นภาระของลูกหลานชาวอเมริกันในที่สุด แต่ตรงนี้ผมไม่เห็นด้วย เพราะ ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วผู้ที่จะต้องรับภาระการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลสหรัฐจะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาลสหรัฐมากกว่า เพราะธนาคารกลางสหรัฐจะพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อลดหนี้ในอนาคต
นาย Gregory Mankiw อดีตที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนาย Romney ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในการเลือกตั้งปี 2012 ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันคนรวยที่สุด 1% ของสหรัฐ จ่ายภาษีเท่ากับ 28.9% ของรายได้อยู่แล้ว ขณะที่ชนชั้นกลางจ่ายภาษี 11.1% ของรายได้ การที่ประธานาธิบดีโอบามาหวังจะเก็บภาษีจากคนรวยที่มีเพียง 1-2% เพื่อแก้ปัญหาของคน 98% นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ตรงกันข้ามไอเอ็มเอฟประเมินว่าการจะแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐโดยถาวรนั้น สหรัฐจะต้องปรับเพิ่มภาษีที่เก็บจากประชาชนทุกคนอีก 35% โดยทันทีและจะต้องเก็บภาษีในอัตราดังกล่าวตลอดไป พร้อมกับการปรับลดผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากรัฐสวัสดิการลง 35% ในทันทีเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าการถกเถียงกันของนักการเมืองสหรัฐในขณะนี้ห่างไกลจากรากเหง้าของปัญหาอย่างมาก ดังนั้นการมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็น “ข่าวดี” นั้นจึงเป็นการมองโลกในแง่ดีจนน่ากลัวครับ
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 7 มค.56