โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดิฉันเคยเขียนเรื่องข้อคิดเกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ในโครงการ”รถคันแรก” ของรัฐบาลไปเมื่อ 11 กันยายน 2554 ในบทความที่ชื่อ “ควรซื้อรถคันใหม่หรือไม่” ในช่วงนั้นดิฉันไม่ได้นำบทความไปลงในโชเชียลมีเดีย คนจึงอาจจะได้อ่านกันไม่มากนัก หรืออ่านแล้วไม่ได้แชร์ต่อ บทความจะมีคำถามให้ถามตัวเองก่อนซื้อรถค่ะ ลองไปอ่านดูนะคะที่ http://bit.ly/pQpYqA
ที่ดิฉันเขียนถึงเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งในวันนี้ หลังจากเวลาผ่านไปปีเศษ เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมาก บ่นกลุ้มใจว่าไปจองสิทธิ์มาแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะใช้สิทธิ์หรือสละสิทธิ์ดี และได้ไปออกรายการของสถานีโทรทัศน์ Money Channel ตอบปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน ซึ่งมีผู้ถามเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปรากฏว่า มีผู้เข้ามาแสดงตนมากมายว่า ตนเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ไปจองรถเพื่อใช้สิทธิ์ แต่ตอนนี้ลังเล ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรกับสิทธิ์นั้นดี
จากข้อมูลพบว่า จำนวนผู้ใช้สิทธิ์โปรโมชั่นรถคันแรกมีถึง 1,300,000 คัน ซึ่งมีผู้เปรียบเทียบว่าถ้านำมาเรียงต่อกันจะเท่ากับระยะทางจากกรุงเทพไปถึงเกาะฮอกไกโด ของญี่ปุ่นนั่นเลย! แต่ผู้ได้อ่านบทความให้คิดก่อนซื้อรถมีเพียง 18,155 ราย ซึ่งหากอ่านแล้ว เห็นว่าเหมาะสม ไปจองซื้อ ดิฉันก็คิดว่าสมเหตุสมผลดี แต่ประเด็นในวันนี้อยู่ที่ว่า มีคนที่รายได้ไม่ถึง 20,000 บาท ไปจองซื้อจำนวนมาก โดยมีแรงจูงใจเฉพาะเรื่องการได้สิทธิ์ลดภาษีสรรพสามิต 100,000 บาท และกำลังกลุ้มใจอยู่
ดิฉันจึงขอเขียนเพื่อให้ท่านที่จองไปแล้วแต่ยังไม่ได้ซื้อ ลองพิจารณาดูอีกครั้งหนึ่งค่ะ
ประการแรกควรจะเปรียบเทียบก่อนว่า ปัจจุบัน ท่านมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเดือนละเท่าไร หากท่านมีรถยนต์แล้ว ท่านจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางนี้ลงไปได้หรือไม่
ตัวอย่างรายที่ถามผ่าน Money Channel อยู่ในกรุงเทพมหานคร เงินเดือน 15,300 บาท มีค่าใช้จ่ายเดินทางไปทำงานเดือนละ 600 บาท แต่มีการเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดทุกสัปดาห์ เสียค่ารถทัวร์ไป-กลับครั้งละ 600 บาท รวมค่ารถกลับต่างจังหวัด 2,400 บาท
พิจารณาอย่างนี้ค่ะ กรณีมีรถขับเอง ค่าน้ำมันรถไป-กลับที่ทำงาน น่าจะประมาณ 2,500 บาทต่อเดือน หากว่าที่พักอยู่ใกล้กับที่ทำงาน ค่ารถทัวร์ไปต่างจังหวัดเที่ยวละ 300 บาท น่าจะไม่เกินขอนแก่น หรือชุมพร กรณีขับรถกลับต่างจังหวัดเอง ค่าน้ำมันไป-กลับ น่าจะประมาณ 1,500 บาทต่อครั้ง หรือ 6,000 บาท ต่อเดือน รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยรถส่วนตัว ประมาณ 8,500 บาทต่อเดือน ยังไม่รวมค่าผ่อนรถ ค่าที่จอดรถ และค่าบำรุงรักษานะคะ
ถ้าเป็นกรณีนี้ ตอบได้เลยว่า ไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้ เงินเดือนได้มาก็จะมาจ่ายค่ารถและค่าน้ำมันหมด ไม่ต้องกินต้องใช้กันแล้ว เงินที่เคยส่งให้ลูกก็ต้องงด เพราะฉะนั้น ลืมรถที่จองไว้ไปได้เลยค่ะ ถ้าไม่อยากมีปัญหาหนี้สินและลามไปถึงปัญหาในครอบครัวในภายหลัง
บางครอบครัวต้องเดินทางออกไปทำงานครั้งละหลายคน ไปในทิศทางเดียวกัน หากมีรถและไป-กลับด้วยกันจะประหยัดค่าเดินทางเพิ่มขึ้น อย่างนี้มีเหตุผลที่จะซื้อรถค่ะถ้ามีกำลังเงินเพียงพอ
คำถามที่สองคือ ทำไมจึงอยากได้รถ หากไม่มีโครงการนี้จะอยากได้หรือไม่ หลายท่านจะตอบว่าเพื่อความสะดวกสบาย หลายคนอยากโก้ หลายคนอยากได้ส่วนลด 100,000 บาทอย่างเดียว อย่างอื่นยังไม่ได้คิด
อยากฝากข้อคิดไว้ว่า ความสะดวกสบายและความโก้ ควรจะได้มาเมื่อเรามีกำลังแล้ว หากมีรายได้ 40,000 – 50,000 บาท แล้วอยากซื้อรถ ดิฉันคิดว่า ท่านมีสิทธิ์ เพราะท่านมีกำลังที่จะซื้อได้
ในบทความเดิมเคยเขียนเอาไว้ว่า ภาระการผ่อนที่จะทำให้ไม่อึดอัดคือไม่เกิน 35% ของรายได้ แต่ถ้ารายได้ของท่านน้อย เช่นในตัวอย่างด้านบนที่ยกมา ท่านต้องหักค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวันก่อน ซึ่งหักแล้วอาจจะเหลือเงินสามารถผ่อนได้ประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 10-15% ของรายได้เท่านั้น
เข้าใจว่าบริษัทรถยนต์และลีสซิ่งได้คิดรูปแบบใหม่ในการผ่อนชำระ คือ เพิ่มเวลาในการผ่อนจาก 4 ปี เป็น 5 ถึง 6 ปีและมีโปรแกรมผ่อนแบบใหม่ คือผ่อนในช่วงแรกน้อยหน่อย และไปผ่อนในช่วงหลังเพิ่มขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของรายได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ผู้ซื้อมีกำลังผ่อนหรือไม่ เพราะแม้จะผ่อนเดือนละ 6,000 กว่าบาทในช่วงแรก และเพิ่มเป็น 7,000 กว่าบาทในช่วงหลัง ผู้ผ่อนก็ควรจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาทอยู่ดีค่ะ แล้วต้องคิดด้วยว่าจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยเงิน 13,000 กว่าบาทต่อเดือน ได้อย่างไร ซึ่งจะโยงไปยังคำถามที่สาม
คำถามที่สาม มีเงินจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และมีที่จอดรถแล้วหรือยัง บางคนอยู่หอพัก หรือบ้านแบ่งเช่า ซึ่งไม่มีพื้นที่จอดรถ และที่จอดรถนั้นไม่เฉพาะที่จอดในที่พักนะคะ ท่านซื้อรถมาก็อยากจะขับไปทำงาน ท่านต้องดูด้วยว่าที่ทำงานมีที่จอดรถให้หรือไม่ โดยทั่วไปไม่มีค่ะ หรือมีก็ต้องจ่ายค่าจอด เพราะที่จอดรถไม่ได้เป็นสวัสดิการภาคบังคับ
มีผู้ให้ข้อมูลมาว่า ค่าใช้จ่ายหลักๆที่เกี่ยวข้องคือ ค่าน้ำมันเครื่อง 2,000 บาททุกระยะ 5,000-10,000 กิโลเมตร ค่าน้ำมันรถเฉลี่ยเดือนละ 3,000-5,000บาท ค่าเปลี่ยนยางที่ 50,000 กม.ประมาณ10,000-12,000 บาท ค่าประกันต่อปี12,000-15,000 บาท ค่าต่อทะเบียน 1,000-2,000 บาท ฯลฯ เฉลี่ยออกมาต่อเดือนประมาณ 4,700 – 6,000 บาท ไม่รวมค่าจอดรถเดือนละ 1,500 -3,000 บาทนะคะ
ดิฉันเห็นว่า คนหนุ่มสาวที่เริ่มทำงานไม่ว่าจะมีฐานะดีเพียงใด ควรจะต้องรู่จักการนั่งรถสาธารณะ การนั่งรถสาธารณะจะทำให้เรารู้จักสภาพชีวิตที่แท้จริง รู้จักเส้นทางมากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม ปัจจุบันดิฉันก็ยังนั่งรถสาธารณะอยู่ ถ้ามีโอกาส
ขอนำข้อความในบทความเดิมมาเขียนอีกครั้งหนึ่งค่ะ “ในชีวิตของเรา เราไม่จำเป็นต้องทำในทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามา เราสามารถเลือกสิ่งที่จะทำให้เหมาะสมกับสถานะและความเป็นอยู่ของเรา ให้เหมาะกับสภาพความจำเป็น”
“จากการสังเกตพบว่า ผู้ใช้รถสาธารณะ มีโอกาสเก็บออมเงินได้มากกว่าผู้ซื้อรถยนต์มาขับเอง ถ้าจะให้เปรียบเทียบเป็นกระปุกออมสิน รถยนต์เป็นกระปุกออมสินที่ก้นรั่ว คือ หยอดเงินลงไปก็หล่นหายหมด”
หวังว่าจะเป็นข้อคิดให้ผู้ที่จองซื้อไปแล้วได้ทบทวนดูนะคะว่าที่คิดจะซื้อนั้น เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงแล้วหรือยัง