โชว์ห่วย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

โชว์ห่วย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร เม.ย. 23, 2013 6:13 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor         เมษายน 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โชว์ห่วย

	การพยายาม “เปลี่ยนภาพ” ร้านขายของจิปาถะหรือร้านสะดวกซื้อแบบดั้งเดิมที่เรียกกันว่าร้านโชว์ห่วยของกระทรวงพาณิชย์โดยการจัดร้านและปรับปรุงบริการใหม่และเปลี่ยนคำเรียกใหม่ว่าเป็นร้าน  “โชว์สวย”  นั้น  ผมคิดว่าคงไม่สามารถทำให้ร้านโชว์ห่วยซึ่งมีภาพของความเก่า  ล้าสมัย  และบริการไม่ดี  เปลี่ยนไปเป็นร้านที่ทันสมัย  บริการดี  และน่าเข้าไปใช้บริการได้  เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าร้านเหล่านี้จะปรับปรุงตัวเองไม่ได้  แต่เพราะว่ามันไม่คุ้มที่จะทำเนื่องจากต้นทุนในการปรับปรุงร้านนั้นอาจจะสูงเกินไป  ระบบข้อมูลในการควบคุมสต็อกสินค้าและการเก็บเงินแพงเกินไป  ค่าจ้างพนักงานสูงเกินไป  และอื่น ๆ  อีกมาก  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้สำหรับร้านค้าปลีกดั้งเดิมที่มักจะมีร้านเดียวและบริหารโดยเจ้าของและคนในครอบครัวไม่สามารถทำได้อย่างคุ้มค่าเปรียบเทียบกับร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีร้านค้าเป็นเครือข่ายนับร้อยหรือนับพันสาขา   ดังนั้น  โชว์ห่วยซึ่งคนไปแปลความหมายว่าเป็นร้านที่  “ห่วย”  จึงยังจะแย่ต่อไป   เพราะมันเป็นเรื่องของ  “โครงสร้าง”  ที่  “แก้ไม่ได้”  แต่ถ้าถามว่าแล้วในที่สุดจะ  “ตาย”  หรือหมดไปไหม  คำตอบก็คือ  มันก็คงไม่ล้มหายตายจากไปหมด  พวกเขาก็จะยังอยู่ได้ในแบบที่เหมาะสม  แต่ก็จะไม่ดีหรือรุ่งเรืองหรือเติบโตขึ้น
	ที่ผมเกริ่นเรื่องของร้านโชว์ห่วยนั้น  ที่จริงไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึงร้านหรือธุรกิจสะดวกซื้อเลย   เพียงแต่อยากจะเชื่อมโยงถึงธุรกิจหรือบริษัทอื่น ๆ  ที่โดยธรรมชาติของมันจริง ๆ  แล้วก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ดีเด่นอะไรเลยแม้ว่าบางบริษัทจะใหญ่โตเป็นกิจการระดับประเทศ  และถ้าจะพูดไปก็อาจจะเป็นกิจการที่  “ห่วย” เหมือนกันในแง่ที่ว่ามันมีกำไรน้อย  ผลประกอบการไม่แน่ไม่นอน  และอื่น ๆ  อีกหลายอย่าง  และนี่ก็เช่นเดียวกัน  มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากผู้บริหารหรือเจ้าของไม่มีความสามารถ   แต่มันเป็นเรื่องของโครงสร้างที่  “แก้ไม่ได้”  และก็เช่นเดียวกัน  พวกเขาไม่ล้มหายตายจากไป  แต่ก็ยากที่จะเจริญรุ่งเรืองไปได้มาก ๆ   ถ้าเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  โอกาสที่มูลค่าของหุ้นจะสูงเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีในระยะยาวก็มักจะมีน้อย  ในทางวิชาการแล้วเราเรียกธุรกิจเหล่านี้ว่าบริษัทที่ผลิตและขายสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์   โดยที่วิธีสังเกตว่าบริษัทไหนจะเป็น “บริษัทโชว์ห่วย”  นั้น  เราอาจจะดูจากข้อมูลบางอย่างดังต่อไปนี้
	ข้อแรกก็คือ  บริษัทมีกำไรน้อยเมื่อเทียบกับยอดขาย  หรือ Profit Margin ต่ำ  สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการขายสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับสินค้าของคู่แข่ง  ดังนั้น  การแข่งขันจึงต้องอาศัยราคาเป็นหลักทำให้ราคาสินค้าลดลงจนเหลือกำไรที่ต่ำที่สุดที่ธุรกิจจะยังอยู่ได้  คำว่าต่ำนั้นโดยทั่วไปผมมองอยู่ที่กำไรต่อยอดขายที่ต่ำกว่า 5%  และนี่คือตัวเลขตัวแรก  แต่ก็ยังไม่ใช่เงื่อนไขว่าทุกบริษัทที่มีมาร์จินต่ำกว่า 5% จะต้อง “โชว์ห่วย” เสมอไป  ต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วย
	ข้อสองคือ  กำไรในระยะยาวเช่นตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปถ้ามองย้อนหลังก็จะพบว่ามีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง  บางปีกำไรดีมาก  แต่บางปีก็อาจจะขาดทุนหรือกำไรตกลงไปมาก  ส่วนใหญ่แล้วกำไรที่ขึ้น ๆ  ลง ๆ  มักจะมาจากราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วในแต่ละปี  สำหรับผมแล้ว  ถ้ากำไรผันผวนมากในช่วงเวลาแค่ 5 ปีที่ผ่านมา  ผมก็มักจะหลีกเลี่ยงบริษัทเหล่านี้
	ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่สำคัญและเป็นตัวที่บอกว่ามันอาจจะเป็นกิจการที่  “โชว์ห่วย” ก็คือ  กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำโดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 10% เป็นส่วนใหญ่ในช่วง 5-10 ปี ที่ผ่านมา  เพราะนี่คือเหตุผลที่บริษัทหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ  ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของไม่ควรลงทุนเนื่องจากมันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงถ้าเอาเงินของตัวเองลงไปในบริษัทแล้วได้ผลตอบแทนไม่ถึง 10% ต่อปี
	ข้อสี่ก็คือ  ในการดูตัวเลขหลาย ๆ ปี เช่น 5 ปีย้อนหลัง  บางทีผมก็อาจจะดูตัวเลขกำไรโดยรวมด้วยว่า 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรรวมกันเท่าไร  ซึ่งบางครั้งก็พบว่าในบางปีบริษัทขาดทุนอย่างหนักจนทำให้กำไรรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นมีน้อยมากแม้ว่ากำไรในปีหลัง ๆ  จะดูน่าประทับใจ  แบบนี้ผมก็จะต้องระวังเป็นพิเศษเหมือนกันว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร  ถ้ามันเป็นเรื่องของธุรกิจหลักมันก็อาจจะเป็นตัวบอกเหมือนกันว่านี่เป็นสัญญาณของกิจการ  “โชว์ห่วย” ที่กำไร 4 ปี ต้องหมดไปกับการขาดทุนเพียงปีเดียว 
	ข้อห้าเป็นเรื่องเชิงคุณภาพที่จะบอกว่ามันเป็นกิจการที่แย่หรือไม่ก็คือ  จำนวนผู้ผลิตหรือคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงที่เข้ามาแข่งขันในตลาดเดียวกัน  นี่อาจจะรวมถึงคู่แข่งหรือสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศด้วย  ถ้าดูแล้วคู่แข่งมีเต็มไปหมด  แบบนี้ก็ต้องสงสัยว่ามันจะเป็นกิจการในกลุ่ม  “โชว์ห่วย”  ที่อาจจะทำกำไรได้ยาก
	ข้อหก  ลองคิดดูว่าสินค้าที่บริษัทขายนั้น  คนซื้อจะมีความภักดีต่อยี่ห้อมากน้อยแค่ไหน  หรือคนสนใจในเรื่องของโปรโมชั่นหรือราคามากกว่า  ถ้าเป็นอย่างหลัง  โอกาสก็คือบริษัทเป็นผู้ผลิตหรือขายสินค้า  “โชว์ห่วย”  ที่มักจะไม่สามารถทำกำไรที่ดีกว่าปกติได้
	ข้อเจ็ด  ในบางครั้งบริษัท  “โชว์ห่วย”  อาจจะมีข้อมูลดีมากติดต่อกันอาจจะถึง 4-5 ปี จนทำให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัท  “โชว์สวย”  ที่จริงบริษัทเหล่านี้อาจจะดียิ่งกว่าบริษัทที่ดีเยี่ยมด้วยซ้ำเนื่องจากตัวเลขทุกตัวเติบโตขึ้นแรงต่อเนื่องกันหลายปี  แต่ข้อมูลทางด้านคุณภาพบอกว่ามันน่าจะเป็นบริษัท “โชว์ห่วย”  เหตุผลที่ตัวเลขดีติดต่อกันหลายปีนั้นอาจจะเกิดจากสถานการณ์ผิดปกติบางอย่างเช่น  เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านของอุปสงค์-อุปทาน อย่างที่ไม่มีคนคาดคิดมาก่อนและการปรับตัวของกำลังการผลิตทำไม่ได้เร็วพอ  ดังนั้น  ราคาสินค้าอาจจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีทำให้บริษัทมีกำไรอย่างน่าประทับใจจนคนเข้าใจคุณสมบัติของบริษัทผิดไป  
	ข้อสุดท้ายคือกรณีที่ตัวเลขบางตัว  เช่น  กำไรต่อยอดขายอาจจะไม่สูง  เช่นเดียวกับกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่อาจจะปริ่ม ๆ  ที่ 10% ต้น ๆ    นอกจากนั้น  ตัวสินค้าที่ขายก็อาจจะดูเหมือนว่าเป็นสินค้าที่คนไม่ติดยึดยี่ห้อแต่เน้นราคามากกว่า  เช่นเดียวกัน  คู่แข่งที่มีศักยภาพก็มีอยู่มาก  ดูไปแล้วก็อาจจะบอกว่ามันน่าจะเป็น  “โชว์ห่วย”   อย่างไรก็ตาม  ตัวเลขกำไรมีความสม่ำเสมอปีแล้วปีเล่าและอาจจะมีแนวโน้มค่อย ๆ  เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  ในกรณีแบบนี้เราอาจจะต้องดูลึกลงไปอีกหน่อยว่าบางทีบริษัทอาจจะมี  “Local Monopoly”  หรือมีพลังทางตลาดเนื่องจากสถานที่ตั้งของกิจการหรือร้านค้าที่ทำให้คู่แข่งไม่สามารถมาแข่งขันได้หรือเปล่า  เพราะในกรณีแบบนี้  ลูกค้าที่อยู่ในรัศมีการเดินทางอาจจะต้องการใช้บริการจากบริษัทมากกว่าจะเดินทางไปหาบริการจากคู่แข่ง  ผลก็คือ  การแข่งขันโดยใช้ราคาก็ไม่ถึงกับรุนแรงจนหากำไรไม่ได้
	การที่จะสรุปว่าหุ้นหรือกิจการตัวไหนน่าจะเป็น  “โชว์ห่วย” หรือตัวไหนน่าจะเป็น  “โชว์สวย”  นั้น  นอกจากการดูข้อมูลด้านตัวเลขและข้อมูลด้านคุณภาพดังที่กล่าวมาแล้ว  บางทีเราก็อาจจะต้องดูอย่างอื่น ๆ  ที่ผมนึกไม่ถึงหรือรายละเอียดที่ไม่สามารถเขียนได้หมด  จริงอยู่  กิจการหรือบริษัทหลาย ๆ  แห่งนั้นมี  “หลักฐาน” ทั้งที่เป็นตัวเลขและคุณสมบัติอย่างอื่นบอกว่ามันเป็น  “โชว์ห่วย”  แต่หลาย ๆ  บริษัทก็ไม่ชัด  และหลายบริษัทก็อาจจะเป็นข้อยกเว้นเนื่องจากเหตุผลพิเศษอย่างอื่นทำให้มันไม่ใช่  เมื่อได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว  เราก็สามารถตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นได้โดยอิงอยู่กับคุณค่าที่ควรจะเป็นของมันนั่นก็คือ   หุ้น  “โชว์ห่วย” เราจะให้มูลค่าที่สูงมากไม่ได้  คิดจากค่า PE และเฉพาะอย่างยิ่ง PB ที่ต้องไม่สูง  มิฉะนั้นเราอาจจะเสียหายเมื่อในที่สุดตัวตนที่แท้จริงของกิจการปรากฏออกมา 
[/size]



ตอบกลับโพส