ข้อผิดพลาดในการ“ขาย”หุ้น/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ข้อผิดพลาดในการ“ขาย”หุ้น/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ พ.ค. 20, 2013 11:42 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

   สัปดาห์ที่แล้วดิฉันเขียนถึงข้อผิดพลาดในการลงทุนในหุ้นที่เกิดในการหาจังหวะเข้าซื้อ และได้ให้คำแนะนำไปสี่ข้อ ในวันนี้จะเขียนถึงข้อผิดพลาดที่เกิดในการขายหุ้นค่ะ
   ข้อแรกคือ ขายเร็วเกินไป อันนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก โดยเฉพาะในช่วงตลาดกระทิง  เพราะเมื่อตอนเข้าลงทุน เราได้ตั้งราคาเป้าหมายที่เป็นมูลค่าของบริษัทไว้ พอถึงจุดที่ไปถึง บางคนก็จะขายเลย มีวินัยดีมาก แต่อาจจะพบว่า ขายแล้วราคาก็วิ่งขึ้นไปอีก จึงโกรธตัวเองว่า ขายไปเสียของ
   วิธีรับมือกับสถานการณ์นี้ทำได้หลายอย่าง อย่างแรก หากพิจารณาแล้วว่า มูลค่าของบริษัทน่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เราประมาณการไว้ เพราะมีปัจจัยอื่นๆที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แนะนำให้กลับไปซื้อใหม่ อาจจะต้องทำใจว่าราคาจะสูงกว่าเดิม แต่ถ้ามองว่ายังมีโอกาสที่จะทำกำไรจากการลงทุนได้เพิ่มเติม และเรารู้สึกสบายใจที่ได้ลงทุนในหุ้นของบริษัทนี้ ก็ไม่ควรลังเลที่จะกลับเข้าไปซื้อใหม่ ดิฉันเองกลับเขาไปซื้อหุ้นตัวเดิมอยู่บ่อยครั้ง
   แต่หากพิจารณาแล้วว่า ไม่มีปัจจัยพื้นฐานใดๆเปลี่ยนแปลง และราคาที่ขายไปสมเหตุสมผลอยู่แล้ว แนะนำว่าไม่ต้องเข้าไปซื้อใหม่ค่ะ หากราคาจะปรับตัวสูงขึ้นไปอีก ก็ต้อง”ทำใจ” 
   วิธีรับมืออย่างที่สาม เมื่อราคาไปถึงมูลค่าเป้าหมาย หลายคนใช้วิธีพิจารณาก่อนว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นในกรณีแรกคือ มูลค่าของบริษัทน่าจะสูงขึ้น หรือ เช่นในกรณีหลัง คือ ไม่มีพื้นฐานเปลี่ยนแปลง แต่รอดูอีกพักหนึ่ง ให้ราคาวิ่งขึ้นไปเต็มที่ ซึ่งอาจจะวิ่งเลยมูลค่าพื้นฐานไป 5-10% พอแผ่วลง หรือเริ่มปรับตัวลงจึงจะขาย ซึ่งขาย ณ จุดนี้ อาจจะได้ราคาสูงกว่าขายตอนขาขึ้น แม้มีโอกาสขายได้ราคาน้อยกว่ามูลค่าที่ตั้งไว้ตามความตั้งใจเดิม แต่ก็จะลดผลเสียหาย (จากการที่กำไรน้อยกว่าที่ควรจะเป็น) ไปได้บ้าง
   ข้อผิดพลาดข้อที่สอง กอดหุ้นที่ขาดทุนไว้ ไม่ยอมขาย  พฤติกรรมนี้เป็นเรื่องปกติมากของปุถุชน ไม่มีใครอยากเจ็บปวดจากการตัดขายขาดทุน นอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเจ็บใจด้วย สู้ถือไปเรื่อยๆรอวันที่ราคาขึ้นมาใกล้ๆทุนแล้วค่อยขายดีกว่า
   คำแนะนำคือ ต้อง“ตัดใจ”ค่ะ ไม่มีใครลงทุนแล้วกำไรตลอด หากพิจารณาแล้วเห็นว่าลงทุนผิด หรือหุ้นตัวนี้มีปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ดีเหมือนที่เราคาดคิดไว้เมื่อเราลงทุน หรือมีข้อมูลอื่นที่เรารับทราบมาเพิ่มเติมจากจุดที่เราลงทุน และข้อมูลเป็นด้านลบ ควรจะตัดใจขายไป เพราะได้เงินมาแล้ว เอาเงินไปลงทุนหุ้นอื่นอาจจะได้ผลตอบแทนดีกว่า
   เวลาคิดผลตอบแทน แม้เราจะคำนวณกำไรขาดทุนรายหุ้น แต่เวลามองเพื่อลงทุนควรมองในภาพรวมค่ะ หุ้นนี้กำไรหุ้นนี้ขาดทุน เมื่อมองในภาพรวมยังได้กำไรอยู่ ก็ควรจะพึงพอใจ
   อย่างไรก็ดี หากเราวิเคราะห์ข้อมูลแล้วมั่นใจ และตลาดยังมองไม่เห็นมูลค่าของหุ้นนั้นแบบที่เราเห็น เราก็ต้องอดทนถือไว้ เพื่อรอวันที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อไป เพราะเงินที่เราจัดสรรมาลงทุนในหุ้น เป็นเงินลงทุนระยะยาว เราจึงรอได้
   ข้อที่สาม รักบริษัทนั้นมาก ต้องการมีหุ้นนั้นตลอดเวลา กลัวขายไปแล้วซื้อไม่ได้ แนะนำว่า ไม่ต้องกลัวค่ะ ตราบใดที่มีเงินลงทุน ย่อมซื้อหุ้นทุกตัวได้ เพียงแต่ซื้อในราคาไหนเท่านั้น 
   แต่หากรักที่จะเป็นเจ้าของบริษัทนั้นจริงๆ แนะนำให้จัดสัดส่วนเป็นการลงทุนแบบกลยุทธ์ หรือ Strategic Investment ซึ่งในกลุ่มผู้ลงทุนที่เป็นกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ เขาใช้คำศัพท์กันอย่างนั้น ผู้ลงทุนรายเล็กรายน้อยอย่างเราก็มีการลงทุนแบบกลยุทธ์ได้เช่นกัน แต่เหตุผลอาจจะต่างกัน
   หากเราชอบสินค้าและบริการของใครมากๆ เราก็อาจจะอยากเป็นเจ้าของ ไปใช้บริการครั้งใดก็เสมือนไปเยี่ยมชมธุรกิจของตัวเอง ดิฉันก็มีบริษัทที่เป็นเจ้าของผ่านการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และไปใช้บริการประจำแบบนี้  เวลาไปใช้บริการก็เท่ากับไปช่วยอุดหนุนธุรกิจของตัวเองด้วย มีความสุขและเพลิดเพลินดี 
   ที่สำคัญ เวลามีความคิดเห็นก็มักจะอดที่จะแสดงไม่ได้ ส่วนใหญ่จะชมถ้าดี หรือแนะนำให้ปรับปรุงถ้ายังเห็นว่ามีช่องที่จะปรับปรุงได้ค่ะ บริษัทอย่างนี้ เราจะถือลงทุนไว้ตลอดชีวิตก็ได้ค่ะ ถือว่าลงทุนไว้ส่งมอบให้ลูกหลานเป็นมรดก แต่ไม่ควรมีเป็นสัดส่วนที่สูงมากนัก เพราะไม่ได้หวังว่าต้องได้ประโยชน์สูงสุดจากเงินลงทุนทุกบาททุกสตางค์ เนื่องจากเราอาจจะไม่อยากขาย ยกเว้นกรณีที่มีเงินอยู่มากแล้ว และส่วนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้ ทำเพื่อความเพลิดเพลิน และได้กำไรด้วย 
   เนื่องจากส่วนใหญ่ธุรกิจจะมีวัฏจักร ซึ่งอาจจะสั้นบ้างยาวบ้างก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นหากเป็นผู้ลงทุนมืออาชีพ เราต้องไม่ยึดติดกับหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่งค่ะ เนื่องจากถือว่าเงินลงทุนมีจำกัด ในแต่ละช่วงจึงต้องทำประโยชน์จากเงินลงทุนให้เต็มที่ จึงต้องคิดว่าขายไปแล้ว หากวันหลังมีโอกาสก็กลับมาซื้อลงทุนใหม่ได้ 
   ข้อผิดพลาดที่สี่ คือ หวงราคา  เช่นเดียวกับขาซื้อค่ะ คือเสียดายเศษๆเล็กน้อย ไม่ชอบขายที่ราคาเสนอซื้อ แต่จะตั้งราคาขาย แต่พอถึงเวลาใกล้จะขายได้ก็ตั้งราคาหนีไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เลยอดขาย เพราะราคาอาจขึ้นไปไม่ถึงจุดที่ตั้งไว้ 
   วิธีแก้ไขหากไม่ต้องการขายเร็ว เสียของ หรือกลัวขายได้ราคาไม่ดี คือใช้วิธีทยอยขายเป็นล็อตๆ (ข้อนี้ใช้ไม่ได้สำหรับผู้ที่ลงทุนเพียงบอร์ดล็อตเดียวหรือเพียง 100 หุ้น) และล็อตสุดท้ายรอจนราคาขึ้นไปเต็มที่หรืออาจเริ่มตกลงจึงจะขายหมด ราคาที่ได้ก็จะเป็นราคาเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มขึ้น ขึ้นสูงสุด และเริ่มตก ซึ่งโดยมากจะดีกว่าขายไปครั้งเดียวค่ะ
   การทยอยขายก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคนค่ะ แบ่งเป็น 5 ล็อตๆละ 20% แบ่งเป็น 4 ล็อตละ 25% หรือหากใจร้อนก็แบ่ง 2 ล็อตๆละ 50%  ดิฉันพบว่าแบ่งสัก 3 ล็อตขึ้นไปจะดีกว่า
   แต่ถ้าเห็นว่าตลาดจะเปลี่ยนทิศทาง เราอาจจะทยอยขายไม่ได้ ต้องตัดใจขายไปในคราวเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ด้วยนะคะ ว่าเป็นสัดส่วนที่สูงหรือไม่ เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ถ้าสูงก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขายค่ะ เพราะเราไม่ต้องการทำร้ายตัวเอง ถ้าขายไปแล้วราคาตก หุ้นในส่วนที่เหลือที่เรายังถืออยู่ก็จะมีมูลค่าลดลงไปด้วย
   จริงๆแล้วยังมีข้อผิดพลาดในการขายอีกหลายประเด็น แต่เป็นประเด็นเล็กๆ ที่อาจจะไม่เกิดขึ้นบ่อย และพื้นที่คอลัมน์มีจำกัด จึงเขียนโดยสังเขปมาเพียงเท่านี้นะคะ
   ข้อคิดวันนี้ : ถ้ารักที่จะลงทุนในหุ้น เมื่อถึงเวลาขาย  ต้องหัด“ทำใจ”หากขายไปแล้วได้กำไรน้อยกว่าที่ควรได้  ต้อง “ตัดใจ”ยอมขายขาดทุนบ้าง หากหุ้นไม่ดีเหมือนที่คาดไว้  ต้องไม่กลัวที่จะขายทำกำไรออกไป และ เวลาตั้งราคาขาย ไม่ควรจะ“หวงราคา”มากนักค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส