ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทย/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทย/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.ย. 09, 2013 2:29 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

หลายฝ่ายรวมทั้งทางการไทยมองว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังนี้จะฟื้นตัวจากการชะลอตัวในครึ่งแรกกล่าวคือครึ่งแรกเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงจากไตรมาส 4 ปี 2012 ไปไตรมาส 1 ปี 2013 และจากไตรมาส 1 ปี 2013 ไปไตรมาส 2 ปี 2013 กล่าวคือจีดีพีไตรมาส 3 จะมีมูลค่าสูงกว่าจีดีพีในไตรมาส 2 และเช่นเดียวกันจากไตรมาส 3 ไปไตรมาส 4 และหากดูตัวเลขจีดีพีเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) นั้นจีดีพีขยายตัว 5.4% ในไตรมาส 1 และ 2.8% ในไตรมาส 2 แปลว่าในครึ่งแรกจีดีพีขยายตัว 4.2% ซึ่งหากภัทรคาดการณ์ถูกต้องคือจีดีพีทั้งปี 2013 จะขยายตัว 3.8% ก็แปลว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จีดีพีไทยจะขยายตัว 3.4% ในครึ่งหลังของปีนี้

เหตุที่เสียงส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากไตรมาสปัจจุบันนั้นมาจากการคาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ยุโรปก็เปลี่ยนจากภาวะเศรษฐกิจหดตัวเป็นเศรษฐกิจขยายตัว ญี่ปุ่นฟื้นตัวได้ดีเกินคาดและเศรษฐกิจจีนสามารถขยายตัวได้ 7.5% ต่อปี ไม่ต่ำกว่าระดับนี้มาก เพราะเศรษฐกิจสามารถชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป การประเมินสภาวการณ์เศรษฐกิจโลกดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลให้การส่งออกไทยฟื้นตัวและเป็นหัวจักรที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ ตัวเลขการส่งออกของไทยนั้นต้องยอมรับว่าตกต่ำต่อเนื่องติดต่อกันมานาน 18 เดือนแล้ว กล่าวคือหลังประเทศไทยประสบกับอุทกภัยน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2011 ทุกฝ่ายก็นึกว่าการส่งออกจะขยายตัว 15% ในปี 2012 แต่กลับขยายตัวเพียง 4% สำหรับปี 2013 นั้นก็นึกว่าการส่งออกจะขยายตัว 7-8% แต่จากมกราคมถึงกรกฎาคมนั้นการส่งออกขยายตัวเพียง 1% เท่านั้น (การส่งออกคำนวณจากมูลค่าเป็นเงินเหรียญสหรัฐ)

กล่าวโดยสรุปคือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในครึ่งหลังของปีนี้น่าจะต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป กล่าวคือ หากการส่งออกในเดือนสิงหาคมถึงปลายปีนี้ยังไม่สูงกว่ามูลค่าการส่งออกในเดือนกรกฎาคมคือ 19,000 ล้านดอลลาร์ ก็จะสรุปได้ว่าการส่งออกต่ำกว่าคาดการณ์อย่างมาก ทำให้จีดีพีขยายตัวไม่ได้ดีตามเป้าหมายข้างต้น นอกจากนั้นประเทศไทยก็จะต้องเผชิญกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นพันล้านดอลลาร์อีกด้วย แต่หากจะให้การขยายตัวของจีดีพีเป็นไปตามเป้าการส่งออกก็จะต้องมีมูลค่าตั้งแต่ 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนขึ้นไปในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้

สำหรับการนำเข้านั้นจะปรับเพิ่มหรือลดลงตามการส่งออก เพราะประเทศไทยนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบค่อนข้างมาก แต่ตัวเลขการนำเข้านั้นมีวิธีคิดแตกต่างกันคือหากยึดตัวเลขจากกรมศุลกากรซึ่งเป็นมูลค่านำเข้าบวกค่าขนส่งและประกันภัย (cost, insurance and freight หรือ cif) ตัวเลขนี้ในเดือนกรกฎาคม (ซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุด) คือ 21,300 ล้านดอลลาร์ในเดือนดังกล่าว แต่หากดูตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนกรกฎาคมปรากฏว่าตัวเลขการส่งออกใกล้เคียงกับตัวเลขที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ แต่ตัวเลขนำเข้านั้นเท่ากับ 18,800 ล้านดอลลาร์ ทำให้ประเทศไทยเกินดุลการค้าเล็กน้อย ทั้งนี้ เพราะตัวเลขจากดุลบัญชีการเงินชำระเงิน (balance of payments) ของ ธปท. นั้น จะคำนวณมูลค่าการนำเข้าแบบ free on board (fob) กล่าวคือ ไม่รวมค่าประกันภัยและค่าขนส่ง ซึ่งถูกนำไปหักลบในดุลบริการไม่ใช่ดุลการค้า

ที่เขียนมาอย่างละเอียดก็เพื่อแนะนำว่า หากดูตัวเลข ธปท. ควรดูตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดไปเลย ซึ่งจะรวมถึงตัวเลขดุลบริการด้วย ซึ่งในกรณีของไทยนั้นจะรวมถึงรายได้สุทธิจากการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่กำลังทำเงินให้ประเทศไทยได้ดีอย่างมาก อย่างไรก็ดี แม้ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นมากถึง 22% ในเดือนกรกฎาคม แต่ประเทศไทยก็ยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างมากในเดือนกรกฎาคมคือกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ทำให้ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์ใน 7 เดือนแรกของปีนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดดังกล่าวนั้นได้มีคำอธิบายต่างๆ ดังนี้

1. ในส่วนของการส่งออกนั้นสรุปได้ว่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไม่ฟื้นตัว การส่งออกข้าวยังมีปริมาณน้อย ส่งออกกุ้งตกต่ำลงมากเพราะกุ้งเป็นโรคและการส่งออกรถยนต์ในเดือนกรกฎาคมก็ถดถอยลงจากเดือนก่อนหน้า

2. สำหรับการนำเข้านั้นปรากฏว่ามีการนำเข้าทองคำสูงมาก ทั้งในเดือนกรกฎาคมและตั้งแต่ต้นปี ซึ่ง ธปท. บอกว่าหากไม่นับการนำเข้าทองคำประเทศไทยก็จะเกินดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ผมก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไมจึงควรจะไม่นับการนำเข้าของทองคำ เพราะอาจจะยังมีการนำเข้าทองคำอย่างต่อเนื่องในอนาคตก็ได้

3. ธปท.ได้ให้ข้อมูลว่าได้มีการส่งออกกำไรจากอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างมากในช่วงกลางปีจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายรถยนต์คันแรก

ที่ผมขยายความเกี่ยวกับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า หากมีการขาดดุลก็ส่งผลให้จีดีพีหดตัว กล่าวคือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็คือการใช้จ่ายให้กับต่างประเทศมากกว่าการมีรายได้จากต่างประเทศ แปลโดยสุทธิแล้วจีดีพีต่างประเทศจะขยายตัวไม่ใช่จีดีพีไทย ดังนั้น การไม่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจึงจะมีความสำคัญในการขับเคลื่อนให้จีดีพีขยายตัว

บางคนอาจแย้งว่าในอดีตนั้นประเทศไทยก็ยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเฉลี่ยปีละ 3-4% ของจีดีพี แต่จีดีพีก็ยังขยายตัวได้ปีละ 7% อย่างต่อเนื่อง คำอธิบายคือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในอดีตนั้นเกิดขึ้นได้เพราะมีเงินทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อเร่งการลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นหัวจักรหลักในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว ทั้งนี้ การลงทุนของไทยในอดีตนั้นเคยเฉลี่ยสูงถึง 35% ของจีดีพี (ประมาณ 27% จากภาคเอกชนและ 8% จากภาครัฐ) แต่ปัจจุบันการลงทุนของไทยนั้นเฉลี่ยเพียง 21% ของจีดีพี ดังนั้น หากขาดดุลบัญชีเดินสะพัดโดยที่การลงทุนไม่เพิ่มขึ้นก็จะไม่สามารถกระตุ้นให้จีดีพีขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นการกู้เงินจากต่างประเทศมาบริโภคมากกว่า

ในส่วนของการบริโภคในประเทศนั้นก็ยิ่งชัดเจนว่า ธปท. ได้ตักเตือนอย่างชัดเจนแล้วว่าหนี้ครัวเรือนสูงมากเกินไปแล้ว ดังนั้น การบริโภคในอนาคตจะเพิ่มขึ้นได้อย่างเชื่องช้า โดยจะต้องรอให้รายได้ปรับเพิ่มขึ้นและ “หมดยุค” ที่จะกู้เงินมาเพื่อการบริโภคแล้ว ในส่วนของภาครัฐนั้นก็ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น โดยรัฐบาลคงจะ “เก็บกระสุน” เอาไว้ผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคือการบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาทและการปรับโครงสร้างระบบคมนาคม 2.2 ล้านล้านบาท โดยสรุปแล้วการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้นั้นน่าจะมาจากปัจจัยภายนอก (การส่งออก) มากกว่าปัจจัยภายในประเทศ

สำหรับปัจจัยเสี่ยง เช่น การลดทอนคิวอี การที่นักลงทุนเพ่งเล็งประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับความขัดแย้งที่ประเทศซีเรียและนโยบายการเงินนั้น ผมขอเขียนถึงในสัปดาห์หน้าครับ
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 9/9/56
[/size]



ตอบกลับโพส