ตลาดหุ้นเวียตนาม/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ตลาดหุ้นเวียตนาม/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ต.ค. 06, 2013 8:06 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor      5 ตุลาคม 2556
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตลาดหุ้นเวียตนาม

	“ผมอยากมีลูกมาก ๆ  ซัก 6 คนถ้าเป็นไปได้  เขาจะได้เลี้ยงเราในยามแก่เฒ่า  ถ้ามีลูกน้อยแล้วเขาเกิดตายไปด้วยเราจะลำบาก  ดูซิมันอันตรายเวลาขับมอเตอร์ไซต์บนท้องถนน   หรือบางทีก็อาจจะเป็นโรคตายก่อนวัยอันควรก็ได้  มีลูกมากก็มีความสุข”
 	นั่นเป็นคำพูดของไก้ด์หนุ่มเวียตนามอายุ 24-25 ปี ที่พูดไทยได้ชัดเจนคล่องแคล่ว  เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูทันสมัย  แต่งตัวและทำผมแบบวัยรุ่นสไตล์เด็กแนวของไทย  เขาเป็นคนนำทางร่วมไปกับกลุ่มนักลงทุนไทยที่ไปท่องเที่ยวและชมตลาดหุ้นโฮจิมินของเวียตนามและพบปะกับบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งซึ่งจัดโดยมันนีแชนเนล  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   ผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสไปด้วย  และต่อไปนี้คือข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับตลาดหุ้นเวียตนามและอนาคตของการลงทุนในประเทศนั้น
	ความน่าทึ่งของเวียตนามสำหรับผมก็คือ  ประเทศนี้กำลังมีวิวัฒนาการทางเศรษฐกิจคล้าย ๆ  กับประเทศไทยเมื่อสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นเป็นเวลา 40 ปี มาแล้ว  เพียงแต่ว่ามันอาจจะแรงกว่ามากเนื่องจากประเทศเวียตนามขณะนี้มีประชากรถึงกว่า 90 ล้านคน  คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนุ่มสาวอายุก็คงพอ ๆ  กับไก้ด์หนุ่ม  ประเด็นก็คือ  ประชากรของเวียตนามในอนาคตอีกหลายสิบปีข้างหน้าคงจะเพิ่มขึ้นไปอีกมากทีเดียวอนุมานจากความคิดและความต้องการของไก้ด์ที่อยากมีลูกมากและยังมองว่าการมีลูกมากนั้นเป็นเสมือนการลงทุนอย่างหนึ่งที่จะทำให้ตนเองสบายในยามแก่เฒ่าซึ่งเป็นความคิดของคนในยุคพ่อแม่ผม   การมีประชากรที่เป็นคนอายุน้อยมากมายในปัจจุบันและต่อไปอีกในอนาคตนั้น   ถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเซียและที่อื่น ๆ  ทั่วโลก
	ผมถามเขาว่ารับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูไหวหรือ?  รัฐบาลให้เรียนฟรีหรือเปล่า?  คำตอบก็คือ  ทุกอย่างคนเวียตนามต้องออกเอง  การเรียนโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัยนั้นแพงมาก  อย่างไรก็ตาม  น่าจะมีคนเวียตนามเพียง 10-15% เท่านั้นที่เรียนถึงระดับวิทยาลัย  ทั้งหมดนั้น  ผมนึกดูแล้วก็คล้าย ๆ  กับเมืองไทยในสมัยหลายสิบปีก่อนที่  “ไม่มีอะไรฟรีหรือที่รัฐบาลออกให้”   แต่พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่มีลูกไม่น้อยกว่า 5-6 คน ก็สามารถเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามอัตภาพ  ลูกคนที่เรียนดีบางคนก็ได้รับการศึกษาถึงระดับวิทยาลัย  ส่วนคนที่  “ไม่ได้เรียน”  ก็ออกไปทำงานเป็นช่าง  เป็นคนงานโรงงาน  และอื่น ๆ  ที่ไม่ต้องใช้ความรู้ระดับมหาวิทยาลัย   งานของคนเหล่านี้  แม้ว่าจะไม่ได้ทำรายได้มากเพราะค่าแรงต่ำ  แต่ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ  อานิสงค์จากการเข้ามาลงทุนของต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีนไต้หวัน  และนั่นได้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตมาโดยตลอด  และบังเอิญ  นี่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวียตนามที่นักลงทุนใหญ่ในปัจจุบันก็คือ  ไต้หวันและญี่ปุ่น
	คนเวียตนามในเวลานี้ต้องถือว่ายังยากจนอยู่มากเหมือนเมืองไทยในสมัย 40 ปีก่อน  พวกเขายังบริโภคสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันเป็นหลักแม้ว่าในโฮจิมินจะมีร้านแบรนด์เนมหรูจากต่างประเทศที่ดัง ๆ  เกือบทุกยี่ห้อ  แต่จำนวนร้านก็มีไม่มากและคนที่เข้าร้านนั้นส่วนใหญ่ก็อาจจะเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเวียตนามและคนที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศหยิบมือเดียว   สินค้าที่ต้องใช้เงินมากเช่น  บ้านจัดสรรหรือรถยนต์ที่มีราคาขายพอ ๆ  กับเมืองไทยนั้น  ยังคงมียอดขายน้อยกว่าเมืองไทยมาก  เหตุผลนอกจากความมั่งคั่งแล้วก็คือ  ระบบการซื้อเงินผ่อนยังไม่เกิดขึ้น  คนชั้นกลางต้องค่อย ๆ  เก็บสะสมเงินจนได้เป็นล้านบาทขึ้นไปถึงจะมีปัญญาซื้อบ้านหรือรถได้  ซึ่งนี่ทำให้การบริโภคน้อยลงไปมากเทียบกับเศรษฐกิจที่มีระบบนี้  เรื่องสินค้าเงินผ่อนนี่ก็เช่นกัน  ก่อนหน้าที่เมืองไทยจะมีระบบนี้แพร่หลาย  ผมก็จำได้ว่าการซื้อบ้านหรือการมีรถยนต์นั้น  เป็นเรื่อง “ไกลเกินเอื้อม” ในช่วงที่ผมเพิ่งทำงานหลังจบปริญญาตรีใหม่ ๆ   สิ่งที่คนเวียตนามมีปัญญาซื้อค่อนข้างมากในขณะนี้ก็คือมอเตอร์ไซต์  ที่มีอยู่เต็มท้องถนนและทำให้รถยนต์ต้องแล่นช้ากว่าปกติมาก  ชั่วโมงละประมาณ 20 กิโลเมตรในเมือง  และอาจจะ 30-40 ก.ม. นอกเมือง  ทำให้ประสิทธิภาพในด้านของโลจิสติกต่ำมาก  การเดินทางเพียง 100 ก.ม. ออกไปยังเมืองท่าหรือเมืองตากอากาศอาจต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง
	ปัญหาที่ฉุดรั้งไม่ให้เศรษฐกิจโตได้เร็วไปกว่าปีละ 6-7% ที่เป็นอยู่ในช่วงนี้นั้น  ที่สำคัญที่สุดในความเห็นของผมน่าจะอยู่ที่ระบบของความคิดและการปกครองของรัฐบาลที่ยังติดอยู่กับระบบสังคมนิยมที่รัฐควบคุมอยู่พอสมควร  ความไม่แน่นอนของแนวทางการควบคุมระบบการเงินซึ่งทำให้ตลาดการเงินไม่มีเสถียรภาพเห็นได้จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงลิ่วระดับอาจจะ 7-8% ต่อปี  และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินด่องกับเงินเหรียญสหรัฐผันผวนมากและลดลงมาต่อเนื่องเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาอันสั้น  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นหรือตราสารการเงินขาดทุนทั้ง ๆ  ที่ราคาหุ้นอาจจะสูงขึ้นในแง่ของเงินด่อง
	ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  เศรษฐกิจเวียตนามก็ยังร้อนแรงมากในช่วงหลาย ๆ  ปีที่ผ่านมา  และแล้วมันก็ “ระเบิด”  ขึ้นในช่วงปีสองปีนี้  ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำลงอย่างหนัก  เศรษฐกิจมหภาคดูไม่ดีเนื่องจากมีภาวะขาดดุลการค้าสูงและเงินทุนสำรองที่เป็นดอลลาร์สหรัฐต่ำ  เศรษฐกิจภายในประเทศก็ชะลอตัวลงอย่างแรง  ดัชนีตลาดหุ้นลดลงมามาก  สำหรับคนเวียตนามแล้วดูเหมือนว่านี่จะเป็นวิกฤติ  แต่สำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนแล้ว  มันอาจจะเป็นโอกาสที่หาได้ไม่ง่ายนัก
	ประการแรกก็คือ  อัตราเงินเฟ้อดูเหมือนจะลดลงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้มากขึ้นอานิสงค์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ  อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นก็ดูเหมือนจะมีเสถียรภาพขึ้น  ซึ่งก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเมื่อค่าเงินด่องลดลงมามากแล้ว  มันจะลดกันลงไปได้อีกแค่ไหน!  เช่นเดียวกัน  ดัชนีหุ้นก็ลดลงมามากมายและคนเล่นหุ้นในเวียตนามซึ่งมีจำนวนเป็นล้านคนและมากกว่านักลงทุนรายย่อยในบ้านเรานั้นต่างก็  “เลิกเล่น”  เนื่องจากขาดทุนกันอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา  ว่าที่จริง  Market Cap. หรือมูลค่าตลาดหุ้นของโฮจิมินนั้นลดลงเหลือน้อยมาก  ประมาณ 400,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3-4% ของตลาดหลักทรัพย์ไทย  ในขณะที่ขนาดของเศรษฐกิจเวียตนามนั้นเท่ากับ 30-40% ของไทย  ดังนั้น  โอกาสที่ตลาดหุ้นเวียตนามจะโตขึ้นจึงน่าจะมีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  ระยะสั้นก็คือเมื่อเศรษฐกิจของเวียตนามฟื้นจากภาวะ  “วิกฤติ” เล็ก ๆ ในช่วงนี้   ระยะยาวก็คือ  เมื่อเศรษฐกิจเวียตนามมีการพัฒนาขึ้นตามศักยภาพที่ควรเป็นของประเทศที่มีทรัพยากรมากประกอบกับการที่มีประชากรสูง  ยิ่งไปกว่านั้น  คนเวียตนามเอง  จากการสำรวจขององค์กรระหว่างประเทศพบว่าเป็นคนที่มีระดับ IQ สูงระดับต้น ๆ  ของเอเชีย  ดังนั้น  เมื่อระบบการปกครองและบริหารเศรษฐกิจของประเทศลงตัวแล้ว  ประเทศก็ควรจะก้าวหน้าและเติบโตต่อไปได้มาก  และแน่นอน  มูลค่าของบริษัทจดทะเบียนก็ต้องสูงขึ้นตาม
	ผมเองคิดว่าตลาดหุ้นโฮจิมินนั้นน่าสนใจมากด้วยเหตุผลที่กล่าวแล้ว  อย่างไรก็ตาม  อุปสรรคในการลงทุนก็ยังมีอยู่มาก  ข้อแรกก็คือ  ความน่าเชื่อถือของการบริหารงานของบริษัทรวมถึงระบบบัญชีต่าง ๆ  ที่อาจจะยังไม่ได้มาตรฐาน  ว่าที่จริง  กลต. เวียตนามเองก็เพิ่งตั้งขึ้นเข้าใจว่าปีที่แล้วนี่เอง  อีกข้อหนึ่งก็คือ  บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งมักจะถือหุ้นและควบคุมโดยรัฐที่มีผลประกอบการดีนั้น  ดูเหมือนว่าจะถูกต่างชาติซื้อจนเต็มเพดาน  ถ้าเราต้องการจะต้องซื้อเป็นบล็อกและจ่ายราคาพรีเมียมอย่างน้อย 20% และราคาหุ้นก็ไม่ถูก  และสุดท้ายก็คือ  ข้อจำกัดของแบ็งค์ชาติของไทยเองที่ไม่อนุญาตให้คนไทยเอาเงินออกไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามอาจจะเนื่องจากดูว่ามัน  “อันตราย”  ซึ่งสำหรับประเด็นหลังนี้  ผมเองก็รู้สึกประหลาดใจมากว่า  ทำไมเจ้าหน้าที่จึงต้องมาห่วงแทนผมซึ่งเป็นเจ้าของเงิน? 
[/size]



ตอบกลับโพส