มองต่าง vs มองเหมือน/ธันวา เลาหศิริวงศ์

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

มองต่าง vs มองเหมือน/ธันวา เลาหศิริวงศ์

โพสต์ โดย Thai VI Article » พฤหัสฯ. ธ.ค. 12, 2013 7:29 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

   ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลครั้งสำคัญที่ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยต้องจารึกไว้แม้ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าต้องการทำเพื่อประเทศชาติและส่วนรวม แต่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมต่อต้านต่างมีเหตุผลสนับสนุนแนวคิดและมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งมีจำนวนมหาศาลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ได้ยกระดับการชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาลทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมีการปะทะกันจนก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ชาวไทยทุกคนจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทยจะมี‘ทางออก’ที่ดีที่สุดที่สามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้อย่างถาวรในอนาคตอันใกล้นี้
   การ‘มองต่าง’นั้นอยู่คู่กับการลงทุนในตลาดหุ้นเช่นเดียวกันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ความวุ่นวายภายในประเทศไทย จึงเทขายหุ้นออกมาอย่างหนักต่อเนื่องหลายหมื่นล้านบาทในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ หากนับรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่6ธันวาคม 2556 นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นแล้วทั้งสิ้นกว่า 170,000 ล้านบาท ทั้งนี้อาจเป็นเพราะตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปีและการมองเห็นโอกาสในการลงทุนแหล่งอื่นที่อาจได้ผลตอบแทนสูงกว่า 
	ส่วนนักลงทุนสถาบันภายในประเทศและนักลงทุนรายย่อยกลับ‘มองต่าง’โดยเห็นโอกาสธุรกิจจากการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมทั้งประโยชน์จากการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จึงเชื่อมั่นว่า ตลาดหุ้นไทยยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี นักลงทุนทั้งสองกลุ่มนี้จึงมีปริมาณซื้อหุ้นสะสมตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมากถึง100,000ล้านและ 70,000ล้านบาทตามลำดับนี่คือการมองต่างและผลของการกระทำที่เกิดขึ้น
   สำหรับเวลาที่เหลืออีกเพียง 2-3สัปดาห์ก่อนถึงวันสิ้นปี2556 หลายคนยังต้องมุ่งเน้นทำผลงานทั้งปีให้ดีที่สุด หลายคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับวันหยุดพักผ่อนยาวที่กำลังจะมาถึง ดังนั้น นักลงทุนที่มีรายได้ประจำและรายได้จากเงินปันผลไม่ควรลืมเรื่องสำคัญและต้อง‘มองเหมือน’ในการรักษาสิทธิผ่านการวางแผนภาษีที่เหมาะสมกับตนดังนี้
	หนึ่ง พิจารณาลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อได้รับสิทธิลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้จากเงินซื้อหน่วยลงทุนจ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15%ของเงินได้ในแต่ละปีและไม่เกิน 500,000 บาทในแต่ละส่วน นี่คือการลงทุนในตลาดหุ้นทางอ้อมผ่านมืออาชีพ ณ ระดับราคาหุ้นที่มีส่วนลดตามฐานภาษีเงินได้ของแต่ละบุคคล แต่มีข้อเสียคือ ผู้จัดการกองทุนเป็นผู้ตัดสินใจลงทุนตามนโยบายของแต่ละกองทุน และยังมีข้อจำกัดในด้านระยะเวลาการขายคืนหน่วยลงทุน นักลงทุนจึงควรศึกษารายละเอียดนโยบายของแต่ละกองทุน ข้อจำกัด จำนวนเงินลงทุนให้เหมาะสมก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย
	สอง พิจารณาซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตนอกจากวัตถุประสงค์หลักของการทำประกันชีวิตแล้ว เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำมาลดหย่อนและยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000บาทกรมธรรม์บางชนิดมีลักษณะคล้ายกับการสะสมทรัพย์ แม้จะมีผลตอบแทนไม่สูงนักแต่หากรวมสิทธิลดหย่อนที่ได้รับก็ทำให้ผลตอบแทนน่าสนใจเช่นกัน การทำประกันชีวิตมีข้อด้อยคือการผูกพันชำระเบี้ยประกันระยะยาว นักลงทุนจึงต้องพิจารณาความมั่นคงทางรายได้และศักยภาพในการชำระเบี้ยอย่างต่อเนื่องด้วย
	สาม สำหรับผู้มีเงินได้ที่ต้องการช่วยเหลือสังคมส่วนร่วมเงินบริจาคแก่องค์กรสาธารณประโยชน์สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้ สำหรับเงินบริจาคด้านการศึกษานอกจากจะช่วยพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษา คุณภาพชีวิตและลดความช่องว่างของคนในสังคมแล้ว ยังสามารถลดหย่อนได้ถึง 2 เท่าของจำนวนเงินจ่ายจริงอีกด้วยจึงนับว่าเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ทุกคนควรพิจารณาเพื่อร่วมกันทำให้สังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้นอีกด้วย
	ที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่นักลงทุนผู้มีเงินได้ต้อง ‘มองเหมือน’และตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหลือเพราะมีกำหนดเวลาแน่นอนในการใช้สิทธิลดหย่อนดังกล่าว‘หน้าที่’ ของผู้มีเงินได้ทุกคนต้องยื่นแบบประเมินภาษีเงินได้ภายเดือนมีนาคมของทุกปี สำหรับผู้มีสิทธิได้รับเงินคืนภาษีควรยื่นแบบทันทีเมื่อเอกสารครบถ้วน ทั้งนี้เพราะนอกจากเป็นการแบ่งเบาการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปกระจุกตัวในตอนปลายเดือนมีนาคมแล้ว ยังได้รับเงินคืนภาษีเร็วขึ้นอีกด้วย
   แม้ในทางการลงทุน วอร์เรนบัฟเฟต์ เคยกล่าวไว้ว่า‘จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว’ หรือนักจิตวิทยาที่กล่าวว่า ‘A negative thinker sees a difficulty in every opportunity but a positive thinker sees an opportunity in every difficulty’ก็ตาม แต่ในยามสถานการณ์การเมืองไม่แน่นอนซึ่งอาจจบเร็วหรือยืดเยื้อในฐานะ Value Investor จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าควรจะ‘มองเหมือน’ หรือ ‘มองต่าง’ และต้องใช้ ‘สติ’ ในการตัดสินใจลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานของกิจการ
   สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง‘มองเหมือน’ และต้องการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มี ‘บทสรุป’ ที่ดีเหมาะสมต่อประเทศชาติและประชาชน นำความสงบสุข สามัคคีกลับสู่ประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราทุกคนโดยเร็ว
[/size]



ตอบกลับโพส