โค้ด: เลือกทั้งหมด
แบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ ได้ตีพิมพ์บทความ “Exporting America Energy” เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2014 ซึ่งผมเห็นว่ามีสาระที่เป็นประโยชน์
จึงขอนำมาแปลสรุปสาระสำคัญดังต่อไปนี้ครับ
1. ตั้งแต่เริ่มใช้เทคโนโลยี Hydraulic fracturing (fracking) อย่างจริงจังในปี 2005 คือ การขุดเจาะแบบแนวนอนเพื่อผลักดันก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบหรือที่เรียกกันว่า Shale gas และ Shale oil นั้นปรากฏว่าการผลิตก๊าซธรรมชาติของสหรัฐเพิ่มขึ้น 35% ในขณะที่การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 33% สหรัฐจึงกลายเป็นประเทศที่มีส่วนเพิ่มการผลิตก๊าซและน้ำมันของโลกมากที่สุด เนื่องจากสหรัฐยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายอยู่มากเกี่ยวกับการส่งออกก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบจึงไม่สามารถส่งออกได้โดยตรงแต่ต้องแปรรูปเป็นปิโตรเคมีก่อน เป็นผลให้สหรัฐกลายเป็นประเทศที่ส่งออกผลผลิตปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2012 นอกจากนั้นก็ยังทำให้เหลือถ่านหินเพื่อส่งออกมากขึ้นด้วย
2. แต่การส่งออกพลังงานอย่างเป็นล่ำเป็นสันนั้นยังคงต้องรออีกหลายปี เพราะในส่วนของน้ำมันดิบนั้นยังติดกฎหมายห้ามการส่งออกตั้งแต่ปี 1975 และนักการเมืองไม่กล้ายกเลิกกฎหมายดังกล่าวเพราะเรื่องความมั่นคงของอุปทานในต่างประเทศ (ประเทศที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก เช่น ซาอุดีอาระเบีย อิรัก อิหร่าน เวเนซุเอลา รัสเซีย ไนจีเรีย ฯลฯ เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงและหลายประเทศก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐ) กล่าวคือ สหรัฐก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันประมาณ 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพราะใช้น้ำมันคนละประเภทกับที่ผลิตได้ในสหรัฐและแคนาดา ซึ่งเป็นน้ำมันดิบประเภท “หนัก”
3. แต่การส่งออกก๊าซธรรมชาติในอนาคตนั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก แม้เวลานี้ใบอนุญาตการส่งออกจะต้องขออนุมัติเป็นรายๆ ไปโดยกระทรวงพลังงานและต้องผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพราะ การใช้ fracking ทำให้ประเมินได้ว่าสหรัฐมีก๊าซธรรมชาติที่ขุดเจาะมาใช้ได้อีกเป็นร้อยปี แต่ก็มีเสียงคัดค้านเพราะจะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น
4. ราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐต่ำกว่าที่อื่นๆ ในโลกมากคือราคาปัจจุบันในสหรัฐเท่ากับ 4.50 ดอลลาร์/ล้านบีทียู เทียบกับราคาตลาดโลกเฉลี่ยที่ 12.0 ดอลลาร์/ล้านบีทียู ทั้งนี้ การส่งออกก๊าซธรรมชาตินั้นจะต้องแปลงให้เป็นก๊าซเหลวหรือที่เรียกกันว่า LNG (liquefied nature gas) ซึ่งการลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตและส่งออก LNG นั้นจะต้องใช้เงินถึง 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์ แต่ปัญหายูเครนกับรัสเซียที่ยังยืดเยื้ออยู่ปัจจุบันนี้ทำให้มีความพร้อมที่จะยอมลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งผลิตก๊าซเพิ่มเติมที่ไว้วางใจได้มากขึ้น ทั้งนี้ เมอร์ริล ลินช์ประเมินว่าการผลิตและขนส่ง LNG ไปลงที่ท่าเรือที่ยุโรปนั้นน่าจะอยู่ที่ 9-10 ดอลลาร์/ล้านบีทียู ซึ่งยังถูกกว่าราคาปัจจุบันและจะช่วยให้ลดการพึ่งพารัสเซียในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้เอเชียเองโดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีก็มีความต้องการนำเข้าก๊าซจากสหรัฐอย่างมาก (และในอนาคตไทยก็คงจะต้องพึ่งพาการนำเข้า LNG เพราะหลุมก๊าซธรรมชาติของเราก็น่าจะลดลงภายใน 10-15 ปีข้างหน้า)
5. การที่สหรัฐผลิตพลังงานได้มากขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้เมอร์ริล ลินช์ ประเมินว่าประโยชน์ที่สหรัฐได้รับจากการใช้ fracking เพื่อเพิ่มผลผลิตด้านพลังงานนั้นอาจคำนวณได้เป็น 2 รูปแบบคือ 1.การที่บริษัทและครัวเรือนของสหรัฐได้ใช้พลังงานราคาถูก ทั้งก๊าซและน้ำมัน กล่าวคือก๊าซธรรมชาติในสหรัฐราคา 3.8 ดอลลาร์/ล้านบีทียู เทียบกับราคาโลกปัจจุบันที่ 12.4 ดอลลาร์/ล้านบีทียู ส่วนน้ำมันนั้นราคาของสหรัฐอยู่ที่ 88.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเทียบกับราคาตลาดโลกที่ 108.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ 2.รายได้ที่สหรัฐได้รับจากการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 1.9% ของจีดีพี ทั้งนี้ ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐนั้นจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า กล่าวคือจีดีพีขยายตัวเพียง 2% ต่อปี แปลว่าประโยชน์ที่ได้จากภาคพลังงานนั้นมีบทบาทสำคัญยิ่งในการช่วยพยุงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐครับ