โค้ด: เลือกทั้งหมด
บทความตอนที่แล้วผมกล่าวถึงคุณสมบัติผู้บริหารที่พึงปรารถนาของบรรดาเซียนหุ้นระดับโลก ซึ่งส่วนใหญ่มองในแนวทางเดียวกันว่า ต้องเป็นคนที่มีความสามารถ ซื่อสัตย์ และเชื่อถือได้
แต่ลำพังแค่ผู้บริหารมีคุณสมบัติที่ดีนั้นยังไม่เพียงพอ ตัวกิจการที่เขาบริหารก็ต้องมีคุณสมบัติที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน ถ้ากิจการมีพื้นฐานที่ไม่ดีพอ หรือมีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ เช่น กิจการที่อยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน หรือกิจการที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขัน หรือกิจการเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่อยู่ในวงจรขาลง ต่อให้ผู้บริหารมีฝีมือเก่งกล้าสามารถ ก็อาจจะทำผลงานออกมาให้ดีได้ยาก และผู้ที่จะได้รับผลกระทบตามไปด้วยก็คือนักลงทุนซึ่งเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของกิจการนั่นเอง
“ปีเตอร์ ลินซ์” จึงให้คำแนะนำไว้ว่า “ความสามารถด้านการบริหารอาจมีความสำคัญ แต่ก็เป็นเรื่องที่ประเมินได้ยาก จึงควรซื้อหุ้นโดยดูจากอนาคตของบริษัท ไม่ใช่ดูจากประวัติหรือความสามารถในการพูดของผู้บริหาร” ใช่แล้วครับ ถ้าอนาคตของบริษัทมีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ ผู้บริหารที่ว่าแน่ก็อาจ “เอาไม่อยู่”
เหมือนดังที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” กล่าวเปรียบเทียบไว้ว่า “นักขี่ม้าที่เก่งจะฉายแววบนหลังม้าที่ดี ไม่ใช่ม้าแก่ซึ่งสุขภาพทรุดโทรม”
“บัฟเฟตต์” เคยมีบทเรียนสอนใจในเรื่องนี้มาแล้ว เขาเล่าไว้ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของเขาว่า เป็นความผิดพลาดที่ตัดสินใจซื้อหุ้นของบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งทำธุรกิจสิ่งทอ และบริษัท Hochschild Kohn ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าในบัลติมอร์ เวลานั้นทั้ง 2 บริษัทมีราคาต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นราคาที่ถูกมาก โดยไม่ได้คำนึงว่าอนาคตของกิจการไม่ได้สดใสแต่อย่างใด
แม้คุณสมบัติของผู้บริหารบริษัททั้งสองจะเป็นที่ยอมรับของ “บัฟเฟตต์” แต่ก็ไม่สามารถประคับประคองกิจการให้ดีขึ้นได้ “ทั้งธุรกิจสิ่งทอของ Berkshire และ Hochschild Kohn ต่างก็มีผู้บริหารที่เก่งและซื่อสัตย์ ผู้บริหารระดับนี้ หากไปบริหารธุรกิจดีๆ ผลลัพธ์จะออกมาดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงก้าวหน้าไปไหนไม่ได้ หากอยู่ในทรายดูด”
ทำให้ในเวลาต่อมา “บัฟเฟตต์” ต้องตัดสินใจปิดกิจการด้านสิ่งทอของ Berkshire Hathaway และปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้เป็น Holding Company หรือบริษัทด้านการลงทุนมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนบริษัท Hochschild Kohn ก็ถูกขายทิ้งไปหลังจากทนถือไว้นานถึง 3 ปี ซึ่งเขาบอกว่าเป็นโชคดีมากๆ ที่สามารถขายออกไปได้ในราคาเท่าทุน
และนั่นทำให้ “บัฟเฟตต์” ได้ข้อสรุปว่า “เมื่อผู้บริหารซึ่งมีชื่อเสียงว่าสามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยมมาบริหารธุรกิจซึ่งมีชื่อเสียงว่าอยู่ในสภาพย่ำแย่ ชื่อเสียงของธุรกิจจะเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่”
หลังจากนั้น “บัฟเฟตต์” จึงได้ปรับเปลี่ยนมุมมองในการลงทุน จากการเน้นที่ “ราคา” มาเน้นที่ “คุณภาพ” มากขึ้น “การซื้อบริษัทชั้นเยี่ยมในราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งดีกว่าการซื้อบริษัทธรรมดาๆ ในราคาถูก” แนวทางดังกล่าวส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จ กลายเป็นนักลงทุนที่มีผลงานโดดเด่นต่อเนื่องยาวนานที่สุดคนหนึ่งของโลก
และนี่คือคำแนะนำที่ “บัฟเฟตต์” ให้ไว้สำหรับนักลงทุน “สิ่งที่คุณต้องการก็คือ ซื้อธุรกิจที่มีพื้นฐานดี มีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ ในราคาที่สมเหตุสมผล จากนั้นหน้าที่ของคุณก็เพียงแค่คอยติดตามว่าคุณภาพเหล่านั้นยังคงอยู่หรือไม่เท่านั้นเอง”