โค้ด: เลือกทั้งหมด
เมื่อปีที่แล้ว ดิฉันเคยเขียนแนะนำหนังสือ “ทักษะแห่งอนาคตใหม่ : การศึกษาเพื่อศตวรรษที่ 21”ในคอลัมน์นี้ และได้เชิญชวนให้ท่านหาซื้อมาอ่านเพื่อนำไปช่วยพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการอยู่ในโลกนี้อย่างมีคุณภาพให้กับลูกหลายของท่าน
เป็นที่น่ายินดีที่ในวันนี้ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์และภาคีเครือข่ายได้ริเริ่มจัดตั้งกองทุนเพื่อปฏิรูปการศึกษาด้วยกระบวนทัศน์ใหม่ โดยมีเป้าหมาย คือ เปลี่ยนแปลงการศึกษาที่มุ่งมอบความรู้ เป็น การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะ โดยการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี จะช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะการใช้ชีวิต และทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ซึ่งดิฉันเคยเขียนไปแล้วว่าสำคัญมากที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ หรือช่องว่างระหว่าง “คนมี” กับ “คนไม่มี”) และจัดการการเรียนการสอนโดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐาน และให้เด็กเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง (Project-Based Learning—PBL)
ทั้งนี้ ในการดำเนินการ มูลนิธิฯ จะสร้างเครือข่ายความสามารถในการประเมินตนเอง เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียน โดยยึดหลักการพัฒนาต่อเนื่อง และจะก่อตั้งสถาบันจัดการการเรียนรู้ เพื่อเป็นศูนย์รวมเครือข่ายโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สนใจจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนให้มุ่งพัฒนาทักษะทั้ง 3 ประการ
ทั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ให้สาธารณชนและผู้กำหนดนโยบายเห็นว่า การศึกษาที่มุ่งพัฒนาทักษะ 3 ประการ จะทำให้เด็กนักเรียนพัฒนาตนเองเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนรู้และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้จากทุกสถานที่และเวลา มีทักษะการใช้ชีวิตที่ดี มีคุณธรรม และมีศักยภาพในการใช้เครื่องมือไอทีสมัยใหม่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ในความเห็นของดิฉัน หลายคนได้ตระหนักถึงเรื่องนี้และอาจจะใจร้อน ไม่ต้องการพิสูจน์แล้ว อยากให้ปฏิบัติจริงๆ ยกตัวอย่าง ถ้าเราเห็นว่าการเรียนแบบโรงเรียนรุ่งอรุณดี เราก็ควรจะมีโรงเรียนรุ่งอรุณทั่วประเทศ ประเทศต่างๆในโลกต่างก็มุ่งสู่การศึกษาในลักษณะนี้ เราเองตอนนี้ก็ยังแทบจะตามไม่ทันคนอื่น หากต้องมารอพิสูจน์ เพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียอาจจะล้ำหน้าไปถึงไหนๆแล้ว
เราพูดถึงการปฏิรูปการศึกษามามากต่อมาก ดิฉันเองแม้ไม่ได้อยู่ในวงการการศึกษา แต่ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงการเงินการลงทุน และเห็นแนวโน้มความเสี่ยงของสังคมที่เพิ่มมากขึ้น ได้สนใจติดตามและตระหนักว่า การศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้น และได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้เกี่ยวข้องอย่างเนืองๆ ด้วยความเป็นห่วงอนาคตของชาติ ดิฉันเห็นว่าหากผู้กำหนดนโยบายเห็นประโยชน์ เราก็สามารถวางแผนและดำเนินตามแผนได้เลยภายใน 1-2 ปี
อาการของเด็กไทยที่ปรากฏ มีความชัดเจนมากว่า ระบบการศึกษาของเราในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไม่มีผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร การที่เด็กไม่กล้าคิดนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์น้อย ไม่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่มีความรู้ที่จะเอาตัวรอด ล้วนเป็นอาการของการศึกษาที่ยังไม่ตอบโจทย์โลกในอนาคต จึงน่าเป็นห่วงว่าประเทศไทยในอีก 10-20 ปีข้างหน้า จะมีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร
เป้าหมายของมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ คือต้องการสร้างสถาบันการจัดการการเรียนรู้ เป็นความพยายามที่จะดำเนินการเองโดยระดมทุนจากผู้สนับสนุน ไม่หวังพึ่งพาภาครัฐ เพราะเราตั้งความหวังอย่างนี้กับภาครัฐมานานกว่า 20 ปี แต่เราก็วนเวียนอยู่ในอ่าง ไม่ได้พัฒนาไปไหน
ถูกล่ะ เรามีเด็กที่เรียนเก่ง ได้รางวัลจากการแข่งขันนานาชาติมากมาย แต่เด็กเหล่านั้นมีทักษะชีวิตที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอดได้อย่างดีโดยไม่กลายเป็นคุณแม่วัยใสหรือไม่ หรือเด็กๆในชนบทที่ไม่มีโอกาสเรียนดีๆ ต้องเรียนรู้ทักษะชีวิตจากปู่ย่าตายาย ซึ่งมีความรู้และทักษะชีวิตที่เหมาะสมกับโลกเมื่อ 40 ปีก่อน จะมีโอกาสได้เข้าถึงความรู้ผ่านโลกไซเบอร์และมีโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้นกว่ารุ่นพ่อแม่หรือไม่
ท่านทราบหรือไม่ว่า จากการสำรวจในปี 2554 อายุเฉลี่ยของนักเรียนเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกคือประมาณ 12.2-12.3 ปีสำหรับนักเรียนในโรงเรียนสายสามัญ และ 14.7-15 ปี สำหรับนักเรียนในสายอาชีวศึกษา
เด็กต้องกลายเป็นเหยื่อของสังคม เพราะการศึกษาไม่ได้สอนให้เขาเรียนรู้ทักษะสำคัญที่จะช่วยให้ตัวเอง“ฉลาด”ใช้ชีวิต อยู่รอดปากเหยี่ยวปากกา ไม่ถูกชักจูงได้ง่าย ไม่ยึดติดในวัตถุนิยม เติบโตเป็นคนดีมีศีลธรรม มีจิตใจโอบอ้อมอารี มองโลกในแง่ดี และมีความหวังกับชีวิต
ทางมูลนิธิฯจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ในการสร้างเครือข่ายให้โรงเรียนสามารถประเมินตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพ และสร้างสถาบันจัดการเรียนรู้ และจัดทำชุดตำราที่เป็นประโยชน์ต่อการประเมินเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนพึงประสงค์ยุคใหม่
ในการระดมทุน มูลนิธิขอให้ช่วยสนับสนุนโครงการด้วยการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการสมทบทุน ในชื่อบัญชี “สถาบันการจัดการเรียนรู้ มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์วงศ์” ทั้งนี้ท่านสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2511-5855 email: [email protected] และเว็บไซต์ www.thaissf.org
เมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์ของมูลนิธิ จะพบว่า คำขวัญของมูลนิธิคือ Every child has the right to learn. เด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้
มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ตามเจตนารมณ์ของพลตรีนายแพทย์สฤษดิ์วงศ์ และคุณหญิงสดศรี วงศ์ถ้วยทอง ที่จะสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการพัฒนากระบวนการเรียนรู้และนวัตกรรมทางการศึกษาค่ะ
โครงการสนับสนุนการศึกษาดีๆเช่นนี้ กรมสรรพากรน่าจะให้สามารถหักภาษีได้ ถ้าได้ 2 เท่าก็ยิ่งดี ปัจจุบันเงินบริจาคสนับสนุนยังไม่สามารถเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อหักภาษีได้ค่ะ
กระทรวงศึกษาธิการน่าจะเข้ามาสนับสนุนงบประมาณและทำโครงการนี้ในระดับชาติ หากเป็นเช่นนั้น การปฏิรูปการศึกษาที่หลายๆท่านต้องการเห็น จะได้บรรลุเป้าหมาย เราจะได้สบายใจว่า อนาคตทรัพยากรบุคคลของประเทศไทยจะต้องดี เก่ง และยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ใครในโลกนี้เลยทีเดียว
ดิฉันตั้งใจจะนำค่าลิขสิทธิ์หนังสือ “เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่เงิน”ที่ได้มาจากการพิมพ์ทั้ง 3 ครั้ง ไปเป็นเงินสนับสนุนเพื่อเริ่มต้นโครงการนี้ค่ะ