คันไม้คันมือ/ประภาคาร ภราดรภิบาล

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

คันไม้คันมือ/ประภาคาร ภราดรภิบาล

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.ค. 06, 2014 12:44 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    “คันไม้คันมือ” เป็นอาการที่มักจะเกิดกับนักลงทุนจำนวนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนเป็นโรคผิวหนังนะครับ แต่เป็นอาการเนื่องมาจากการที่นักลงทุนเหล่านั้นเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด หรือเกาะติดกับความผันผวนของตลาดหุ้นมากเกินไป จนเกิดความรู้สึกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง

    การซื้อหรือขายหุ้นด้วยความ “คันไม้คันมือ” เนื่องจากทนต่ออิทธิพลจากอารมณ์หรือความผันผวนของตลาดหุ้นไม่ไหว อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจกระทำสิ่งที่ผิดพลาดไม่ประการใดก็ประการหนึ่ง ได้แก่ 

    “ซื้อหุ้นที่ไม่น่าซื้อ” เช่น เห็นหุ้นบางตัวกำลังวิ่งด้วยความร้อนแรง มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก ทำให้นักลงทุนบางคนคิดว่ามันต้องมีดีอะไรแน่ๆ ถึงได้ขึ้นเอาขึ้นเอาอย่างนี้ จึงเข้าไปซื้อตามโดยไม่พิจารณาหุ้นตัวนั้นให้ดีเสียก่อน บ่อยครั้งที่หุ้นลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงหุ้นที่ถูกปั่นราคาเพื่อล่อแมงเม่า ไม่ได้เป็นกิจการที่มีความน่าสนใจลงทุนแต่อย่างใด 

    “ซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ” เช่น เมื่อตลาดหุ้นคึกคักเป็นกระทิงเปลี่ยว ราคาหุ้นทะยานขึ้นไปสูงๆ เห็นใครต่อใครต่างก็ได้กำไรกันถ้วนหน้า จึงทนไม่ไหว เข้าไปร่วมขบวนด้วย เพราะกลัวว่าจะ “ตกรถ” แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นหุ้นเริ่มคลายความร้อนแรง นักลงทุนที่เข้าไปซื้อตามในช่วงท้ายๆ ที่ราคาขึ้นไปถึงจุดพีค จึง “ติดดอย” ไปในที่สุด 

    “ซื้อในราคาที่ไม่เหมาะสม” การไล่ซื้อหุ้นในเวลาที่ตลาดหุ้นคึกคักมากๆ นักลงทุนมักจะได้หุ้นที่มีราคาแพง แม้หุ้นตัวนั้นจะเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมก็ตาม ถ้าราคาแพงเกินไปก็ทำให้ได้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าที่ควร มิหนำซ้ำยังอาจขาดทุนได้ถ้าสภาวะตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาลง

    “ขายหุ้นที่ไม่น่าขาย” เช่น รีบขายหุ้นของกิจการคุณภาพดีที่ยังมีโอกาสเติบโตออกไป เพียงเพราะเห็นแก่กำไรระยะสั้น แต่กลับเก็บหุ้นคุณภาพแย่ๆ ในพอร์ตเอาไว้ เหมือนดังที่ “ปีเตอร์ ลินซ์” เปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนการ “เด็ดดอกไม้ และรดน้ำวัชพืช” 

    “ขายในเวลาที่ไม่ควรขาย” บางครั้งที่ตลาดหุ้นตกหนัก ใครๆ ต่างพากันเทขายหุ้นทิ้ง นักลงทุนบางคนจึงพลอยขายหุ้นตามด้วยความตกใจกลัว (Panic Sell) ทั้งๆ ที่เวลานั้นอาจเป็นโอกาสดีที่จะได้ซื้อหุ้นในราคาต่ำๆ มาเก็บไว้ ไม่ใช่เวลาที่ควรขายหุ้นทิ้ง 

    ขายในราคาที่ไม่เหมาะสม หุ้นบางตัวเป็นหุ้นของกิจการที่มีศักยภาพสูง มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ดีในอนาคต ถ้าถือเก็บไว้ในระยะยาวอาจสร้างกำไรก้อนโตให้กับนักลงทุนได้ แต่นักลงทุนบางคนพอเห็นว่าหุ้นที่ซื้อมานั้นพอจะมีกำไรเล็กๆ น้อยๆ ก็รีบขายทำกำไรอย่างรวดเร็ว ต่อมาในภายหลังจึงพบว่าตัวเอง “ขายหมู” ไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อหุ้นตัวนั้นมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า “ปีเตอร์ ลินซ์” กล่าวว่า เราจะไม่มีวันมีหุ้นหลายเด้ง หรือหุ้นที่ทำกำไรได้หลายๆ เท่าได้เลย ถ้าเราคอยแต่จะขายมันออกไปเพื่อทำกำไรระยะสั้น  

    แล้วจะมีวิธีบรรเทาอาการ “คันไม้คันมือ” ได้อย่างไรบ้าง บางคนให้คำแนะนำแบบกำปั้นทุบดินไว้ว่า ให้ “นั่งทับมือ” เอาไว้ จะได้ไม่มือซนไปซื้อหุ้นตัวนั้น ขายหุ้นตัวนี้บ่อยๆ ส่วนคำแนะนำของผม ก็คือ ต้องลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ลงทุนด้วยอารมณ์หรือความรู้สึก 

    การลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจ หมายถึง นักลงทุนควรต้องมีความรู้ความเข้าใจในหุ้นหรือกิจการที่ลงทุน ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานของกิจการดีพอ เราก็จะเชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากขึ้น และให้ความสนใจกับความผันผวนของราคาหุ้นน้อยลง และเมื่อเป็นเช่นนั้น สภาวะอารมณ์ของตลาดหุ้นก็ไม่สามารถมาชี้นำการตัดสินใจของเราได้ง่ายๆ ให้จำคำพูดที่ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” กล่าวไว้ “ตลาดหุ้นแค่เสนอราคาซื้อขาย อย่าให้มันชี้นำ แต่ให้มันรับใช้เรา”

    นอกจากนี้การรักษาระยะห่างกับตลาดหุ้นให้พอเหมาะก็เป็นสิ่งที่ควรทำ  ไม่ไปจดจ่อหรือเกาะติดกับตลาดหุ้นมากเกินไปจนถูกครอบงำด้วยอิทธิพลจากอารมณ์ของตลาดหุ้นได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ไกลเกินไป หรือถึงกับหันหลังให้ตลาดหุ้นเสียทีเดียว เพราะบางจังหวะเวลา ตลาดหุ้นก็อาจมีโอกาสดีๆ มามอบให้เช่นกัน การอยู่ไกลเกินไปจึงอาจทำให้พลาดโอกาส แต่อยู่การใกล้เกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะฉะนั้นการเดินทางสายกลางนั่นแหละครับเหมาะสมที่สุด

    “แอนโทนี่ โบลตัน” แนะนำไว้ว่า “การลงทุนให้ประสบผลสำเร็จ เป็นการผสมผสานกันระหว่างการเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง และการเงี่ยหูฟังตลาด คุณไม่อาจประสบความสำเร็จได้ถ้าคุณละเลยอย่างใดอย่างหนึ่ง”
[/size]



ตอบกลับโพส