พื้นฐานเปลี่ยน/วีระพงษ์ ธัม

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

พื้นฐานเปลี่ยน/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ โดย Thai VI Article » ศุกร์ ส.ค. 01, 2014 2:25 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    เรื่องราวในตลาดหุ้นที่ผมได้ยินบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ “หุ้นตัวนี้พื้นฐานเปลี่ยนรึเปล่า?” ไม่ว่าจะเป็นด้านที่ดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งมักจะเริ่มต้นจาราคาหุ้นที่ปรับตัวจนดึงดูดความสนใจของนักลงทุน และหลังจากนั้นนักวิเคราะห์ก็จะเริ่มปรับประมาณการ ปรับเป้าใหม่ เหตุผลรองรับก็จะมีมากมายหลายกระแส  ถ้าตามข่าวหุ้น 500 กว่าตัวทั้งตลาด ก็จะเห็น Story ประเภท “พื้นฐานเปลี่ยน” มาให้นักลงทุนอ่านทุก ๆ วัน 

    ที่จริงแล้ววิธีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาดวิธีหนึ่งคือการลงทุนไปในหุ้นที่ “พื้นฐานเปลี่ยน” โดยไม่สำคัญว่าพื้นฐานเดิมของหุ้นจะดีระดับ Super Stock หรือ แย่และขาดทุนหนักแค่ไหน เพราะราคาหุ้นมักจะค่อนข้างสะท้อนพื้นฐานและความคาดหวังของหุ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว เช่นถ้าหุ้นพื้นฐานดี ราคาก็จะแพง  หุ้นที่พื้นฐานแย่ราคาจะถูก ดังนั้นราคาหุ้นในอนาคตจะขึ้นอยู่กับ พื้นฐานของหุ้นว่าดีขึ้นหรือแย่ลงแค่ไหนเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตลาดหุ้นคิดหรือคาดหวังในปัจจุบัน ตัวอย่างที่เห็นบ่อย ๆ คือแม้หุ้นจะแพงอยู่แล้ว ถ้าพื้นฐานหุ้นปรับตัวดีขึ้นอีก หุ้นก็สามารถแพงขึ้นอีกได้ ในทางกลับกัน หุ้นที่ราคาถูกอยู่แล้ว ถ้าพื้นฐานแย่ลงกว่าเดิม หุ้นก็พร้อมจะถูกลงอีก ในทางกลับกัน หุ้นที่พื้นฐานดี ถ้าพื้นฐานหุ้นเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง ราคาหุ้นก็จะแย่ลงมาก หุ้นที่พื้นฐานแย่มาก ถ้าพื้นฐานดีขึ้นบ้าง ราคาก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างมากเช่นกัน

    อย่างไรก็ดีหุ้นในแต่ละกลุ่มจะให้ความสำคัญต่อ “พื้นฐาน” ไม่เหมือนกัน เช่นหุ้นเติบโต ก็จะมองพื้นฐานด้านการเติบโตเป็นพิเศษ ยิ่งการเติบโตสูงขึ้นกว่าเดิมเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้พื้นฐานดีขึ้นเท่านั้น ถ้าเป็นหุ้นบลูชิป พื้นฐานจะเน้นที่โครงการใหม่ ๆ การลงทุนใหม่ ๆ ที่ช่วยให้กิจการมีรายได้สูงขึ้น กำไรสูงขึ้น และมีความสามารถในการแข็งขันสูงขึ้น หรือประเภทหุ้นกลับตัว พื้นฐานก็จะอยู่ที่ว่ากิจการสามารถไปรอดได้หรือไม่ สามารถเริ่มทำกำไรได้เมื่อไหร่ สรุปคือ “ความผิดคาด” ในด้านผลประกอบการ ไม่ว่าจะไปในทางดีขึ้นหรือแย่ลง ก็จะทำให้หุ้น “พื้นฐานเปลี่ยน” และส่งผลต่อราคาหุ้นในที่สุด \ยิ่งผิดคาดมากแค่ไหน ก็ยิ่งให้ผลมากเท่านั้น

    เหตุผลจำนวนมากมายที่ทำให้พื้นฐานหุ้นเปลี่ยน ผมก็อยากจะลองแยกออกมาดูว่า เหตุผลที่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยนไป เป็นไปได้ด้วยกรณีไหนได้บ้าง

    1. สภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น สังคม การเมือง กฏระเบียบภาครัฐ ปัจจัยเงินเฟ้อ โครงสร้างภาษี ดอกเบี้ย เทคโนโลยี ฯลฯ โดยปกติแล้ว ภาพใหญ่จะส่งผลให้กับอุตสาหกรรมและบริษัทไม่เท่ากัน แต่ก็เป็นปัจจัยที่ต้องระวังที่สุด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหรือบริษัทไหนที่ควบคุมชะตาชีวิตตัวเองไม่ได้ และต้องพึ่งพิงสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโดยรวม พื้นฐานบริษัทที่ขึ้นอยู่กับ “คนอื่น” ยิ่งต้องพึ่ง “คนอื่น” มากแค่ไหน พื้นฐานบริษัทก็จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและไม่แข็งแรงเท่านั้น

    2. สภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรม หมายถึง ระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรมนั้น ๆ เช่น การเปลี่ยนของ Demand Trend ของสินค้าและบริการที่มีความนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้พื้นฐานเปลี่ยน ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่ชั่วคราวขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจอสังหาฯ ธุรกิจยานยนต์ที่มีความต้องการขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ หรือจะเป็นความนิยมที่เปลี่ยนไปในเชิงสินค้าทดแทนกัน เช่นแทปเล็ต มาทดแทนโน้ตบุ้ค และมือถือจอใหญ่ (แฟบเล็ต) มาทดแทนแทปเล็ตขนาดเล็กอีกที หรืออาจจะเป็น Supply Chain หรือสมดุลของอุตสาหกรรมเปลี่ยน ด้วยการเข้ามามีอิทธิพลทางการแข่งขันสูงขึ้นของคู่แข่งและคู่ค้า หรือสภาพการแข่งขัน ส่วนแบ่งการตลาดที่เปลี่ยนไปในอุตสาหกรรม 

    3. ตัวบริษัท ซึ่งแบ่งแยกย่อยได้หลาย ๆ ปัจจัย เช่นมี a. ธุรกิจมีโมเดลธุรกิจใหม่ ขยายงานเข้าสู่ธุรกิจใหม่ หรือมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด b. ผู้บริหารเปลี่ยน ทำให้เชื่อได้ว่าปัญหาของกิจการจะถูกแก้ไขได้ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเรื่องธรรมภิบาลของผู้บริหาร c. ผู้ถือหุ้นเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ หรือผู้ถือหุ้นรายเดิมซื้อหรือขายหุ้นทิ้งอย่างมีนัยยะสำคัญ d. การควบรวมกิจการทำให้พื้นฐานเปลี่ยน โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขันหรืออำนาจทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป e. ด้านการปรับโครงสร้างทางการเงิน เป็นต้น

    ยกตัวอย่างได้อีกมากมายคงไม่หมด แต่สาระสำคัญคือ การดำเนินธุรกิจไม่ใช่อะไรที่ง่ายเหมือนการซื้อขายหุ้น พื้นฐานของกิจการจะเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องใช้เวลาหลาย ๆ ปี ด้วยมือพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นร้อย ๆ พัน ๆ หมื่น ๆ คน โอกาสที่หุ้นพื้นฐานจะเปลี่ยนชั่วข้ามคืนแทบจะมีน้อยมาก หลาย ๆ ครั้งเราจะเห็นว่าเป็นเพียงแค่ราคาหุ้นที่ทำให้ความรู้สึกต่อพื้นฐานหุ้นเปลี่ยนไป ซึ่งนี่คือกับดักที่น่ากลัวที่สุด เพราะราคาหุ้นเป็นปัจจัยที่ทำให้เรามีอคติได้มากที่สุดอย่างหนึ่ง ยิ่งราคาหุ้นวิ่ง เราจะยิ่งรู้สึกว่าหุ้นพื้นฐานดีเท่านั้น พฤติกรรมหมู่จะยิ่งทำให้เรารู้สึกปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่กิจการแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ข้อคิดของผมคือ บางครั้งก็ไม่ใช่หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยน มีแต่เราเพิ่งรู้จักหุ้นตัวนั้นดีขึ้นกว่าเดิม(หรือแย่กว่าเดิม)เท่านั้นเอง และ เราต้องทบทวนให้แน่ใจว่าพื้นฐานหุ้นเปลี่ยน หรือใจเราต่างหาก ที่เปลี่ยนไปเอง
[/size]



ตอบกลับโพส