โค้ด: เลือกทั้งหมด
สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและ Change Fusion จัดงานสัมมนาเกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคม โดยเชิญวิทยากรมาจากหลายประเทศ เพื่อมาให้ความรู้ว่ากิจการเพื่อสังคมคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร เรามีวิธีการที่สามารถสนับสนุนกิจการเหล่านี้ได้อย่างไร พร้อมทั้งเชิญผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมและผู้ลงทุนในกิจการเพื่อสังคมทั้งในประเทศไทยและจากต่างประเทศ มาเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์และการทำงานของพวกเขา
ดิฉันได้มีโอกาสรับฟังคุณฟรานซิส ไง ( Francis Ngai) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Social Ventures Hong Kongจากฮ่องกง เล่าถึงกิจการเพื่อสังคมที่องค์กรของเขาลงทุนอยู่ หลายกิจการ โดยทุกกิจการมุ่งไปสู่ การเป็น “ฮ่องกงที่ดีขึ้น”
ฮ่องกงเป็นตัวอย่างของประเทศที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่อังกฤษได้วางเอาไว้หลายด้าน และด้วยความเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจแบบเปิด การพัฒนาด้านต่างๆจึงเป็นไปอย่างก้าวกระโดด
แต่ในขณะเดียวกัน การพัฒนาและการเปิดเศรษฐกิจก็ก่อให้เกิดช่องว่างอย่างมากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ความแตกต่างระหว่างคน”มี” กับ”ไม่มี” ในสิ่งต่างๆนั้นดูจะรุนแรงกว่าประเทศใดๆ
สาเหตุที่ดูจะแตกต่างกันมากและรุนแรง เนื่องจากพื้นที่มีอยู่จำกัด คนรวยและคนจนอาจจะอยู่ในพื้นที่ไม่ห่างจากกันมากนัก แต่มีความเป็นอยู่ต่างกันลิบลับ และเมื่อโอกาสเปิดกว้าง คนที่มีโอกาสดี จึงสามารถผลักดันตัวเองให้ก้าวไปอยู่ในระดับแนวหน้าของโลกได้ไม่ยาก ในขณะที่คนขาดโอกาสก็ลำบากขึ้นเพราะค่าครองชีพปรับสูงขึ้นตามสากล
คุณฟรานซิส ได้แสดงภาพความเป็นอยู่ของคนทั่วไปที่ต้องทำมาหากินว่า ต้องอยู่กันอย่างแออัดเพียงใด ข้อนี้ดิฉันตระหนักดี เพราะได้เคยเขียนในคอลัมน์นี้แล้วว่า ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของคนธรรมดาๆในฮ่องกง อยู่ในระดับต่ำที่สุดในโลก เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นไปสูงมากๆ คนธรรมดาทั่วไป แทบจะไม่มีโอกาสในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเลย
แต่การรับรู้นั้นก็ยังไม่เท่าภาพที่เห็น คนฮ่องกงอาศัยอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในห้องพักที่มีเตียงสูงถึง 4 ชั้น และความหมายของ “บ้าน” ก็คือเตียงที่อยู่นั้นเอง นอกเหนือจากการใช้เตียงเป็นที่พักผ่อนนอนหลับแล้ว ชาวฮ่องกงยังต้องใช้เตียงเป็นที่อ่านหนังสือ สอนการบ้านลูก และรับประทานอาหาร
ในขณะเดียวกัน ฮ่องกงมีการบริโภคอาหารกันมากที่สุด ไม่ว่าอาหารดีๆจากมุมโลกไหน ก็สามารถหาชิมได้ในฮ่องกง หากมีเงินซื้อหา และการบริโภคนั้นก็เกินเลยไปถึงการมีอาหารเหลือทิ้งวันละมากมายก่ายกอง ต้องเอาไปทิ้งเป็นขยะถมทะเล
คุณฟรานซิส และเพื่อนๆ จึงมาคิดกันว่า จะดีกว่าไหมหากจะสามารถหาที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงให้กับผู้มีรายได้น้อย เขาหาตึกเก่าๆที่มีคนทิ้งร้างไว้ ขอเช่าในราคากันเอง เนื่องจากเจ้าของบางคนก็ใจบุญอยู่แล้ว นำมาปรับปรุง และให้เช่าต่อกับผู้ด้อยโอกาส องค์กรของเขาเป็นผู้รับผิดชอบจ่างค่าเช่าแก่เจ้าของอาคาร หากเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าตัวจริงได้ เขาก็มีเงินไปจ่ายให้กับเจ้าของ แต่หากเก็บไม่ได้ เขาก็จะนำเงินขององค์กรมาชำระค่าเช่าให้แทน
เขาจัดให้ครอบครัว single mom (หมายถึงหญิงหม้ายที่มีลูกต้องดูแล) มาอยู่ด้วยกัน หน่วยหนึ่งอยู่กันหลายครอบครัว เท่าที่เห็นจากภาพ น่าจะประมาณ 3-4 ครอบครัว คุณแม่ก็เรียนรู้ที่จะพลัดเวรกันทำงานบ้าน ดูแลเด็กๆ และเด็กๆก็เรียนรู้ที่จะแบ่งปันของเล่นกัน แทนที่แต่ละครอบครัวจะต้องแยกไปอยู่ตามลำพังแม่ลูกอย่างโดดเดี่ยว มีปัญหาเรื่องคนดูแลเด็กในยามที่แม่ออกไปทำงาน และเกิดความหว้าเหว่ รวมถึงการที่เด็กไม่ได้เรียนรู้การอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่น
โครงการหนึ่งที่ดิฉันคิดว่าประเทศไทยน่าจะทำได้ไม่ยาก คือ โครงการ “วันจันทร์สีเขียว” (Green Monday) เป็นการรณรงค์ให้คนงดบริโภคเนื้อสัตว์ในวันจันทร์ ถามว่าทำไมเป็นวันจันทร์ ในเว็บไซต์ตอบเอาไว้ว่า เพราะเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ เราจะไม่ลืมที่จะปฏิบัติ
การงดบริโภคเนื้อสัตว์ดีอย่างไร ข้อมูลบอกว่า การปลูกพืชหรือธัญญพืช 1 กิโลกรัม ใช้น้ำเพียง 1 ใน 10 ของน้ำที่ใช้เพื่อผลิตเนื้อวัว 1 กิโลกรัม หรือการปลูกพืช 1 เฮกเตอร์ จะสามารถเลี้ยงคนได้ 30 คน ในขณะที่หากใช้พื้นที่ 1 เฮกเตอร์นั้นในการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร จะนำมาผลิตเป็นอาหารให้คนบริโภคได้เพียง 5-10 คนเท่านั้น
เขาคำนวณไว้ด้วยว่า หากทุกคนในฮ่องกงหยุดบริโภคเนื้อสัตว์ 1 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ากับนำรถยนต์ 86,000คันออกไปจากท้องถนน หรือเทียบเท่าการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 213 กิโลกรัม ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้สูง 5 เมตร จำนวน 9 ต้น ดูดซับเข้าไปในช่วงระยะเวลา 1 ปี
การลดการปลดปล่อยคาร์บอน จึงเป็นการลดการทำลาย / ทำร้ายสิ่งแวดล้อม
มีผู้คนเห็นคล้อยตามโครงการของเขาจำนวนมาก และได้ให้คำมั่นว่าจะงดเว้นไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกประเภททุกๆวันจันทร์ จึงเป็นที่มาของ “โครงการวันจันทร์สีเขียว หรือ Green Monday”
เขารณรงค์ผ่านร้านอาหารจำนวนมาก และขอความร่วมมือในการเสิร์ฟเมนูปราศจากเนื้อในวันจันทร์ รวมถึงร้านอาหารในท่าอากาศยานนานาชาติเช็กแลปก๊อกของฮ่องกงอีก 57 ร้าน ที่รับเป็นแนวร่วม “วันจันทร์สีเขียว”
เป็นวันที่ทุกคนสามารถสร้างสรรค์เมนูมังสะวิรัติแปลกๆใหม่ๆได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ได้ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วยการลดการสร้างมลภาวะจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และที่สำคัญเหนือกว่าอื่นใด คือ การได้ดูแลสุขภาพของตนเองค่ะ ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ ส่วนใหญ่จะมีสุขภาพดีขึ้น
ถ้าท่านสนใจรับประทานอาหารมังสะวิรัตเพื่อช่วยลดโลกร้อนและเพื่อสุขภาพของท่าน สามารถค้นหาชื่อร้านได้โดยใช้ เสิร์ชเอ็นจิ้นทั่วไปค่ะ ในเมืองไทยมีจำนวนร้านไม่น้อยเลยทีเดียว
คุณฟรานซิสบอกดิฉันว่า ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้คำแนะนำ หากประเทศไทยคิดจะมีโครงการในทำนองนี้ด้วย