โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตั้งแต่ปี 1955 นิตยสาร Fortune ได้ทำการจัดอันดับบริษัท 500 บริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา (เรียงลำดับยอดขาย และเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น) และในปี 1990 Fortune ก็ได้เริ่มจัดอันดับของบริษัททั้งโลกรวมเข้ากับบริษัทในประเทศสหรัฐ และตั้งชื่อว่า Fortune Global 500 ซึ่งหากวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งศตวรรษก่อน จะพบความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมเชื่อว่าเราสามารถมองหา “สุดยอดบริษัทระดับโลก” ในอนาคตจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และธุรกิจที่เติบโตอย่างมากในประเทศไทย ก็มีเส้นทางเดียวกันกับแนวโน้มเหล่านี้เช่นกัน
บริษัทขนาดใหญ่ในอดีตตั้งแต่มนุษย์เรารู้จักการนำทองคำสีดำ หรือน้ำมันมาใช้ ก็มักจะวนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม (บริษัทน้ำมัน) ซึ่งเกื้อหนุนกันกับอุตสาหกรรมที่มีบริษัทติดอันดับมากมายอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างรถไฟ เครื่องบิน หรืออุตสาหกรรมวัตถุดิบต้นน้ำอย่างเหล็กกล้า ก็ครองอันดับใน Fortune ได้ในช่วงก่อนกลางศตวรรษที่ 20 มาโดยตลอด
แต่หลังจากที่มนุษย์เริ่มคิดค้นเซมิคอนดักเตอร์ขึ้น ไม่กี่สิบปีถัดมาอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิคก็เริ่มทะยอยเข้าสู่ Fortune 500 เช่น Texas Instrument (ที่ Phillips Fisher ลงทุน) เกิดบริษัทยักษ์สีฟ้าอย่าง IBM หรือผู้ผลิเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel และค่อย ๆ ย้ายมาฝั่งเอเชีย เริ่มจากญี่ปุ่นเช่น Sony, Mitsubishi ค่อย ๆ มาที่เกาหลีอย่างบริษัท Samsung ล่าสุดก็เริ่มเห็นบริษัทจากประเทศจีน รวมไปถึงการมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิคเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ไต้หวัน สิงค์โปร์ มาเลเซีย จนมาถึงที่ประเทศไทย
การเกิดอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้เกิดระบบ IT ขึ้น และมีการนำ “ข้อมูล” ทางธุรกิจมาประมวลผล ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่คือ Supply Chain และระบบธุรกิจ “Franchise” หรือ โมเดลรูปแบบการขยายสาขาในแบบที่ปีเตอร์ ลินซ์หรือบัฟเฟตต์โปรดปราน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาหลายสิบปี กว่าที่เราจะเห็นธุรกิจหลายอย่างเช่น ธุรกิจอาหารที่เป็นเชน (เช่น McDonald, Starbucks) และค้าปลีกสมัยใหม่ ครองโลก และทำให้ปัจจุบัน Walmart ครองอันดับหนึ่งและยึดอันดับต้น ๆ มาเป็นทศวรรษแล้ว เพราะการเชื่อมโยงทั้งด้านข้อมูลและการค้า (WTO) ช่วยต่อยอดให้ธุรกิจการผลิตต่าง ๆ สามารถทำธุรกิจข้ามโลกได้ และสร้างบริษัทชั้นนำมากมาย เช่น Nesle, PepsiCo, Coke เป็นต้น
นอกจากนั้นเทคโนโลยีชั้นสูงที่ต่อยอดขึ้นมาก็สนับสนุนให้ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็จะเริ่มเห็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์หรือ Healthcare มากขึ้นตามลำดับ ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมไบโอเคมิคอล ธุรกิจยา, เครื่องมือแพทย์ หรือโรงพยาบาล ซึ่งยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มตาม Megatrend ของสภาพโครงสร้างประชากรของโลกที่เริ่มสูงวัยขึ้นจากช่วง baby boomers และขนาดอุตสาหกรรมก็ใหญ่ขึ้นตามลำดับ
อีกธุรกิจที่เป็นขึ้นมาเป็นดาวรุ่งอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คือธุรกิจที่เป็นออนไลน์ หรือดอทคอม เจ้าพ่อธุรกิจค้าปลีกรูปแบบ Brick & Mortars อย่าง Walmart ก็ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากธุรกิจออนไลน์ แต่ก็ยังไม่เห็นผู้ท้าชิงออนไลน์ติดอันดับเข้ามามากนัก นอกเหนือจาก Amazon.com (ปี 2010 ได้อันดับ 100 ปัจจุบัน ขึ้นมาเป็นอันดับ 35) คงเพราะว่าการรบบนสมรภูมิออนไลน์ยังไม่จบ แต่เราคงจะเห็นบทบาทของธุรกิจกลุ่มนี้มากขึ้นตามลำดับในอนาคต รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจที่อาศัย “พลังของระบบ Network” เช่นเดียวกับบริษัทในอดีตที่อาศัยของพลังของ Supply Chain ผลักดันให้เติบโต
ถ้ามองในแง่ของ “ภูมิศาสตร์” จะเริ่มเห็นว่าในยุค 1990 ญี่ปุ่นเริ่มทาบรัศมีของการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเทียบเคียงกับสหรัฐอเมริกา ในเวลานั้น มีบริษัทอเมริกา 167 แห่งติดอันดับอยู่ และมีบริษัทญี่ปุ่น 111 แห่งเป็นอันดับที่สอง ส่วนอันดับรอง ๆ ลงมาคือ สหราชอาณาจักร (43 บริษัท) เยอรมันตะวันตก (32 บริษัท) ฝรั่งเศส (29 บริษัท) ในเอเชียก็มีเกาหลีที่มี 11 บริษัทติดอันดับ 8 ด้วยในเวลานั้น
ผ่านไป 24 ปี ปัจจุบัน อันดับ 1 ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกาแต่เหลือ 128 บริษัท อันดับ 2 คือจีนซึ่งเติบโตเร็วมากตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา จนมีจำนวน 95 บริษัท และอาจจะแซงสหรัฐอเมริกาในไม่ช้า อันดับ 3 ญี่ปุ่น 57 บริษัท มหาอำนาจทางยุโรปเก่าอย่าง ฝรั่งเศส เยอรมัน และอังกฤษ ก็มีจำนวนแห่งละ 30 บริษัท ซึ่งส่วนมากก็เป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เกาหลีมี 17 บริษัท ข้อมูลนี้พอจะเห็นได้ว่าอนาคตสมดุลโลกจะไปทางไหน
มาถึงประเทศไทยกันบ้าง บริษัทที่เติบโตในประเทศก็ไปตามกระแสของโลก เพราะปัจจุบันมีการนำเข้าเทคโนโลยีมาใช้ได้ไม่ยากเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าจะหาบริษัทที่มีขนาดใหญ่ก็มีเพียงบริษัทปตท.เพียงบริษัทเดียวที่ได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบ Fortune โอกาสของ AEC อาจจะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นไปได้ไกลขึ้นกว่านี้ แต่ก็ยังต้องขึ้นกับสามองค์ประกอบร่วมของบริษัทที่สำเร็จใน Fortune 500 คือ 1. วิสัยทัศน์ เพราะบริษัทใน Fortune 500 ทุกแห่งจะมีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และมองไกลมาก 2. การพัฒนาทรัพยากรบุคคล รวมตั้งแต่ผู้นำ ไปจนถึงระดับปฏิบัติการ เราควรจะสามารถทำงานข้ามวัฒนธรรมได้ทั้งวิธีคิดและการใช้ภาษา พร้อม ๆ กับความสามารถในการปรับตัว 3. นวัตกรรม ที่จะต้องสร้างขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการผลิต การตลาด หรือในตัวสินค้านั้น ๆ ซึ่งทั้งสามส่วนไม่เฉพาะภาคเอกชนแต่ต้องมีภาครัฐสนับสนุนอีกด้วย
เพราะสุดท้ายแล้วประเทศไทยคงต้องพยายามผลักตัวเองให้ข้ามผ่านประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากร และแรงงานราคาถูก ไปเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือ “ผู้สร้าง” บางสิ่งบางอย่างเพื่อโลกใบนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วประเทศไทยก็จะตกอยู่ในกับดักของประเทศรายได้ปานกลาง อย่างหลาย ๆ ประเทศในแถบละตินหรืออเมริกาใต้ ซึ่งเศรษฐกิจไทยเริ่มเห็นเค้าลางแล้วว่า อาจจะเติบโตในอัตราต่ำแบบนี้ไปอีกนาน ถ้าเราไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงเสียที