โค้ด: เลือกทั้งหมด
หลังจากสัปดาห์ที่แล้วที่เขียนถึงกองทุนร่วมลงทุนมีผู้สอบถามและหารือประเด็นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และความช่วยเหลือต่างๆที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME ต้องการมาหลายท่านดิฉันเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นไว้ในคอลัมน์นี้น่าจะเป็นประโยชน์จึงขอนำมาแบ่งปันช่วยกันคิดค่ะ
หากต้องการให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไปมีประเด็นที่อยากนำเสนอให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาดังนี้
ประการแรกแก้ไขนิยามของ“วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม”ก่อนนิยามนี้ใช้มากว่าสิบปีคือใช้มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2543 และเมื่อมีการระบุถึงจำนวนเงินค่าของเงินก็ลดลงเรื่อยๆขนาดของกิจการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ต้องมีขนาดพอสมควร
“วิสาหกิจขนาดย่อม” ตามนิยามในพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมคือวิสาหกิจหรือกิจการการผลิตหรือการบริการที่มีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรตามที่กำหนดในกฎกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งได้กำหนดไว้ไม่เกิน 50 ล้านบาทมีการจ้างงานไม่เกิน 50 คนหรือหากเป็นกิจการค้าส่งต้องมีการจ้างงานไม่เกิน 25 คน
หากเป็นกิจการค้าปลีกขนาดจะเล็กลงมาอีกค่ะคือมีมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 30 ล้านบาทและการจ้างงานไม่เกิน 15 คน
สำหรับ “วิสาหกิจขนาดกลาง” นั้นตามนิยามกำหนดไว้ให้มีสินทรัพย์ถาวรเกิน 50 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 200 ล้านบาทหากเป็นกิจการผลิตและบริการและหากเป็นกิจการค้าส่งต้องมีการจ้างงาน 26 คนขึ้นไปแต่ไม่เกิน 50 คนและสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 100 ล้านบาท
สำหรับกิจการค้าปลีกขนาดกลางนั้นต้องจ้างงาน 16-30 คนและมีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 60 ล้านบาท
ถามว่านิยามมีความหมายอะไรไหมจริงๆแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรเพราะเวลาเราทำธุรกิจเราไม่ได้คำนึงถึงว่าเราจะต้องมีขนาดไม่เกินเท่านี้เท่านั้น หากเราต้องโตเพราะมีโอกาสเข้ามาเราก็ต้องหาแหล่งเงินทุนเพิ่มไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุนหรือกู้ยืม แต่ประเด็นอยู่ที่การให้สิทธิประโยชน์หรือการส่งเสริมค่ะรัฐจะใช้นิยามในการกำหนดสิทธิประโยชน์หรือการส่งเสริมทุกครั้ง
ดังนั้นหากกิจการใดไม่เข้าอยู่ในนิยามก็จะไม่มีสิทธิได้รับการส่งเสริมหรือเรียกร้องสิทธิประโยชน์ได้ การตั้งนิยามเรื่องขนาดจึงควรมีมิติของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยและควรจะปรับปรุงเป็นระยะๆให้เข้ากับสถานกาณ์เช่นเดียวกับค่าปรับต่างๆหากเรากำหนดเอาไว้ในกฎหมายหากต้องการแก้ไขจะใช้เวลาและอาจจะทำให้ค่าปรับนั้นๆดูเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยจนคนไม่กลัวที่จะต้องถูกปรับเป็นต้น
เป็นไปได้ไหมว่าเรามีเพียงกรอบกว้างๆสำหรับนิยามของ SME และให้มีการปรับนิยามที่เป็นตัวเลขได้เมื่อเวลาเปลี่ยนไปเพราะสินทรัพย์ถาวรอาจไม่เป็นปัจจัยที่จำเป็นของธุรกิจดิจิทัลบางอย่างเนื่องจากใช้การดำเนินการในลักษณะจ้างผู้อื่นทำหรือ Outsourcing ในขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตต้องใช้สินทรัพย์ถาวรที่มีมูลค่าสูง
ประการที่สองคือเรื่องการเตรียมทรัพยากรมนุษย์สำหรับการเป็นผู้ประกอบการเดี๋ยวนี้ฝรั่งเขาถือว่าการให้คนเรียนรู้เรื่องการประกอบธุรกิจเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ประกอบการข้าราชการลูกจ้างหรือพนักงานในองค์กรใดก็ตามการเรียนรู้และเข้าใจธุรกิจจะช่วยให้เห็นภาพรวมของการทำธุรกิจรับทราบกลไกและบทบาทของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
การแสวงหาผลกำไรในธุรกิจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่บางคนมองตรงกันข้ามธุรกิจทำให้เกิดการจ้างงานทำให้คนมีงานทำครอบครัวมีรายได้คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าการไม่มีงานทำ และแน่นอนว่ายิ่งธุรกิจมีความมั่นคงชีวิตของพนักงานและผู้เกี่ยวข้องก็ควรจะยิ่งดีขึ้น
ข้อสำคัญคือการสร้างนักธุรกิจที่มีจริยธรรมเข้าใจและยอมที่จะแบ่งปันผลตอบแทนในกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยุติธรรมลูกค้าได้รับความพึงพอใจในสินค้าหรือบริการพนักงานได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรมคู่ค้าไม่ถูกกดขี่ ชุมชนไม่ได้รับผลกระทบในทางลบจากธุรกิจและสภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลายในขณะที่ผู้ถือหุ้นก็พึงพอใจต่อผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินลงทุน
ในมุมนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องรู้บทบาทสิทธิและหน้าที่ของตัวเองและเคารพในบทบาทและหน้าที่ของผู้อื่นส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเกิดขึ้นมักจะเกิดจากการมองเฉพาะบทบาทและสิทธิของตนเองโดยลืมหน้าที่ไปยกตัวอย่างการประท้วงของนักบินของสายการบินแห่งหนึ่งในยุโรปเมื่อไตรมาสที่สามของปีนี้หากพนักงานมองเห็นถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการประท้วงหยุดงานนักบินจะไม่ประท้วงแน่นอนเพราะความเสียหายเหล่านี้ยิ่งทำให้บริษัทไม่มีเงินจะจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ตามที่เรียกร้องและบริษัทเสียชื่อเสียงผู้โดยสารเข็ดหลาบหนีไปใช้บริการของสายการบินอื่นในกรณีแย่ที่สุดก็อาจจะขาดทุนถึงกับต้องปิดการดำเนินการและพนักงานทั้งบริษัทต้องไปหางานใหม่ทำอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายๆประเทศ
ประการที่สามการมองยุทธศาสตร์ในภาพกว้างขึ้น SME ของเราส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจในส่วนของตัวเองดิฉันเห็นว่าการมีที่ปรึกษาช่วยดูว่าควรควบรวมกิจการที่มีลักษณะคล้ายกันหรือมีความต่อเนื่องกันหรือไม่เพื่อทำให้กิจการมีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านทุนทรัพยากรบุคคลและมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นโดยเฉพาะในบริบทที่เราสามารถขยายไปยังตลาด AEC ได้ ที่ดิฉันเคยเสนอไว้หลายปีแล้วในเรื่องของการร่วมแรงร่วมใจหรือ Collaborative Effort
ในโลกที่มีการแข่งขันเข้มข้นการมีขนาดใหญ่นิดหน่อยจะช่วยได้ค่ะต่างคนต่างทำอาจสูญเสียทรัพยากรและพลังในการดำเนินการมากเกินไปรวมกันให้มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้วช่วยกันทำอาจจะดีกว่า
ประการสุดท้ายแหล่งทุนสนับสนุนเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าธุรกิจจะอยู่ในขั้นตอนใดของวงจรตั้งแต่เริ่มต้นเติบโตขยายอาจจะต้องการน้อยหน่อยในช่วงที่ธุรกิจอยู่ตัวแล้วแต่ SME คือกิจการที่อยู่ในสามช่วงแรกทั้งนั้นเพราะเมื่อขยายและอยู่ตัวแล้วขนาดก็จะใหญ่ขึ้นอาจจะเกินกว่าที่จะเป็น SME
รัฐต้องสนับสนุนและช่วยก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดการเติบโตและการขยายกิจการของ SME ค่ะการสนับสนุนเงินทุนในการวิจัยเงินทุนในการก่อตั้งกิจการเช่นสนับสนุนผ่านกองทุนร่วมลงทุนหรือ Venture Capital ที่ดิฉันเขียนถึงไปเมื่อสัปดาห์ก่อน และสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อโดยการมีหน่วยงานช่วยค้ำประกันสินเชื่อแก่ SME เช่นบสย. (บรรษัทสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม)
สำหรับเงินทุนในการขยายกิจการเพื่อเติบโตนั้นเชื่อว่ามีทั้งบุคคลและสถาบันซึ่งสนใจที่จะลงทุนเพื่อสนับสนุนกิจการจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะกิจการที่มีวัตถุประสงค์ที่จะดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยในรูปของ Private Equity หากรัฐจะสนับสนุน SME ให้เป็นกิจการเพื่อสังคมหรือ Social Enterprise ด้วยน่าจะระดมหาทุนมาสนับสนุนกิจการได้ไม่ยากยิ่งถ้าให้มีแต้มต่อหักภาษีได้เช่นเดียวกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF ก็จะเป็นสิ่งที่วิเศษมากเลยค่ะ