ราคาน้ำมันลดส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ราคาน้ำมันลดส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ม.ค. 19, 2015 8:30 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงมาอย่างมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา  แม้จะส่งผลในด้านบวกสำหรับผู้บริโภคที่สามารถใช้น้ำมันได้ในราคาที่ถูกลง แต่ก็ส่งผลกระทบในด้านลบแก่ผู้ผลิตน้ำมัน ทั้งในด้านผู้ผลิตแต่ละราย อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และในภาพรวมของรัฐ หรือประเทศที่มีรายได้หลักจากการขายและส่งออกน้ำมัน 

ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ ต่างทราบว่า การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญมากต่ออัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารจะต้องจ่าย และหมายถึงราคาของตราสารหนี้ด้วย

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือขนาดใหญ่ในโลกนี้มี 3 บริษัท คือ มูดี้ส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส (Moody’s) เอสแอนด์ พี (S&P) และ ฟิทช์เรทติ้ง (Fitch Ratings) ซึ่งล่าสุดได้มีการทยอยออกเอกสารเกี่ยวกับแนวโน้มเครดิตของรัฐหรือประเทศผู้ผลิตน้ำมันออกมา สะท้อนให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในตราสารของประเทศหรือรัฐต่างๆเหล่านี้

ประเทศที่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือไปสดๆร้อนๆเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558 ที่ผ่านมาคือ รัสเซีย โดย ฟิทช์เรทติ้ง ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัสเซีย จาก BBB เหลือ BBB- เนื่องจากปัญหาทั้งราคาน้ำมัน ค่าเงินรูเบิลที่อ่อนค่าลงอย่างมาก เรื่องการถูกคว่ำบาตรทางการค้าจากหลายประเทศ จนส่งผลกระทบอย่างแรงต่อเศรษฐกิจ ทั้งนี้ มูดี้ส์ ยังคงให้อันดับเครดิตรัสเซียเท่ากับ Baa2 (เทียบเท่า BBB) และ เอสแอนด์พี ให้ BBB- อยู่แล้ว โดยทั้งสองผู้จัดอันดับความน่าเชื่อถือ ให้แนวโน้ม “เป็นลบ”แก่รัสเซีย

อีกประเทศหนึ่งที่น่าเป็นห่วงกว่าคือ เวเนซูเอล่า ซึ่งมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนราคาน้ำมันลดลงอย่างฮวบฮาบ โดยอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในปัจจุบันเท่ากับ CCC โดยฟิทช์  ในขณะที่ มูดี้ส์ ให้ Caa3 (เทียบเท่า CCC-) และ เอสแอนด์พี ยังให้ดีกว่าเล็กน้อยคือ CCC+แต่แนวโน้ม “เป็นลบ”  ทั้งนี้เวเนซูเอลามีหนี้ต่างประเทศอยู่ 33,771ล้านเหรียญสหรัฐ และมีนักวิเคราห์ทำนายว่าเวเนซูเอล่าคงจะต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ในไม่ช้า มิฉะนั้นจะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงมาก โดยบลูมเบิร์กได้คำนวณจากสัญญาณที่เกิดขึ้นในตลาด Credit Default Swap ว่าใน 5 ปี เวเนซูเอล่ามีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงถึง 97.86% 

ไนจีเรีย ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าเป็นห่วง นอกจากราคาน้ำมันที่ลดลงจะทำให้รายได้ของประเทศลดลงแล้ว เงินทุนสำรองต่างประเทศของไนจีเรียยังอยู่ในระดับต่ำ จึงจะได้รับผลกระทบมากทีเดียว

หลายรัฐในสหรัฐอเมริกาพึ่งพารายได้จากน้ำมัน ที่พึ่งพามากที่สุดน่าจะเป็นรัฐอลาสกา โดยประมาณ 90%ของแหล่งที่มาของงบประมาณของรัฐอลาสกา มาจากรายได้น้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันลดลงไปมาก มูดี้ส์อินเวสเตอร์เซอร์วิส ก็ประกาศในเดือนธันวาคม 2557 ปรับแนวโน้มเครดิตของรัฐอลาสกาจาก “มีเสถียรภาพ”เป็น “เป็นลบ”

รัฐอลาสกาได้ประกาศว่าเพื่อเป็นการเตรียมรับมือกับภาษีต่างๆที่รัฐจะเก็บได้น้อยลง รัฐจะลดการลงทุนของรัฐลงประมาณ 50% เลยทีเดียว

นอกจากรัฐอลาสกาแล้ว รัฐอื่นๆของสหรัฐอเมริกาที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นสัดส่วนที่สูงคือ รัฐนอร์ธดาโกต้า รัฐโอกลาโฮมา ไวโอมิง หลุยเซียน่า และเท็กซัส โดยมีการคาดการณ์ว่า หากราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำเช่นในขณะนี้ คือ ประมาณ 50 เหรียญสหรัฐ ไปจนถึงกลางปีนี้ คาดว่าบริษัทน้ำมัน และบริษัทให้บริการสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐอเมริกา อาจจะมีการเลิกจ้างครั้งใหญ่ หลายหมื่นคน

แม้ว่ารัฐเท็กซัสจะมีรายได้จากอุตสาหกรรมและธุรกิจอื่นด้วย แต่ก็เป็นรัฐที่ผลิตน้ำมันดิบถึง 40%ของน้ำมันดิบในสหรัฐอเมริกา โดยในช่วงที่ผ่านมาการค้นพบน้ำมันและก๊าซในชั้นหินดินดาน หรือ Shale Oil/ Shale Gas ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก  ข้อมูลบอกว่า รัฐเท็กซัสแห่งเดียวเป็นผู้ครองตลาดถึง 90%ของกำลังผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา  

รายงานข่าวแจ้งว่าเพียงในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2557 สองเดือนซึ่งราคาน้ำมันยังสูงกว่าปัจจุบัน อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซในรัฐเท็กซัส มีตำแหน่งงานลดลงไปถึง 2,300 ตำแหน่ง

ทั้งนี้ บริษัทน้ำมันและบริษัทที่เกี่ยวข้องในสหรัฐอเมริกา มีการจ้างงานประมาณ 10 ล้านคน

ใครบ้างที่มีโอกาสถูกกระทบอีก นอกจากบริษัทผู้ผลิตและขุดเจาะน้ำมันซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากรายได้ที่ลดลงแล้ว เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันเหล่านี้ก็ได้รับผลกระทบไปด้วยค่ะ หลายคนอาจหลุดจากทำเนียบอภิมหาเศรษฐีพันล้านเหรียญไปชั่วคราว  

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันในสัดส่วนที่สูง ก็จะได้รับผลกระทบ โดยธนาคารในรัฐเท็กซัสที่ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ผลิตน้ำมันขนาดกลางและเล็ก คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

ไม่ใช่แต่ธนาคารเท่านั้น ผู้ปล่อยกู้ ซึ่งรวมถึงผู้ลงทุนที่ซื้อตราสารหนี้ประเภท high yield ของบริษัทที่ทำการสำรวจและผลิตน้ำมันในชั้นหินดินดาน ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย หากราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำนานเกินไป และผู้ผลิตเหล่านั้นไม่แข็งแรงพอ จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนประเภทนี้ก่อนค่ะ

ประเทศผู้มีรายได้หลักจากการส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลาง ก็ถูกกระทบเช่นกัน แต่ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่มีภาครัฐที่แข็งแกร่ง มีหนี้ต่างประเทศน้อย จึงยังคงมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดีอยู่ เช่น ซาอุดิอารเบีย มีหนี้ต่างประเทศ 8,769 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้รับอันดับเครดิต Aa3 (เทียบเท่า AA-) โดยมูดี้ส์ ในขณะที่ฟิทช์ให้ AA และ เอสแอนด์พีให้ AA-  

สำหรับคูเวต มีหนี้ต่างประเทศ 11,939 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้อันดับเครดิตเทียบเท่า AA จากทุกค่ายค่ะ (Aa2 จากมูดี้ส์ และ AA จาก เอสแอนด์พีและฟิทช์)

ไม่มีใครตอบได้ว่าราคาน้ำมันจะยืนอยู่ในระดับต่ำนานแค่ไหน แต่การที่เจ้าชายอัลวาลีด์ แห่งซาอุดิอารเบีย ตรัสเมื่อต้นปีนี้ว่า คงจะไม่ได้เห็นราคาน้ำมันที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล อีกตลอดไป ก็ทำให้ผู้ผลิตน้ำมันรู้สึกหนาวมากยิ่งขึ้น โดยตอนนี้ก็เฝ้าแต่หวังว่า ราคาจะกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญต่อบาร์เรลได้ในเวลาอีกไม่นาน 

ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงนี้ ทำให้ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อหดหายไปหมด ตอนนี้เงินเฟ้อไม่ได้เป็น “ผู้ร้าย”อีกต่อไป ตรงกันข้าม สำหรับญี่ปุ่นแล้ว อยากให้มี “เงินเฟ้อ”เพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้ปรับขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างให้พนักงานบ้าง

ประเทศผู้นำเข้าน้ำมันอย่างไทยเรานี้ ผู้บริโภคก็จะได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลง อาจจะลดต้นทุนการผลิตได้บ้าง แต่อยากเตือนว่า แม้จะราคาถูก แต่ก็ควรจะใช้อย่างประหยัดต่อไปนะคะ ยังต้องสร้างสำนึกของการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส