โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในหนังสือฟอร์จูนฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2558 ได้ลงบทความเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตในฐานะที่เขาบริหารบริษัทเบิร์คไชน์มาเป็นเวลา 50 ปี เนื้อหากล่าวถึงสไตล์การบริหารกิจการแบบบัฟเฟตที่บริษัทใหญ่ๆในอเมริกาไม่สามารถนำไปใช้ได้และเป็นบทความที่น่าสนใจดังนี้
วอร์เรน บัฟเฟตได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา ขณะที่การบริหารกิจการของเขาได้รับการกล่าวถึงไม่มากนัก เขาเข้าบริหารบริษัทเบิร์คไชน์ แฮตตาเวย์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1965 หรือ 50 ปีที่แล้วและปัจจุบันเขาก็ยังดำรงตำแหน่งนี้อยู่เช่นเดิม ถ้ามองดูบริษัทอเมริกันในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า อัลเฟรด สโลนบริหารบริษัทเจเนอรัล มอเตอร์เป็นเวลา 23 ปี, จอห์น ดี รอกกี้เฟลเลอร์บริหารบริษัทสแตนดาร์ดออยล์อยู่ 27 ปีและกระทั่งบิล เกตต์ยังบริหารบริษัทไมโครซอฟท์อยู่แค่ 25 ปี
กล่าวได้ว่านักลงทุนทั่วโลกต่างลอกเลียนแบบกลยุทธการลงทุนของบัฟเฟต แต่สไตล์การบริหารของบัฟเฟตกลับไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดกับบริษัทใหญ่ๆของโลกเลยแม้แต่นิดเดียว ชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูของบัฟเฟตกล่าวเอาไว้ว่า “ระบบของเบิร์คไชน์”เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของบัฟเฟตและเขาคิดว่าบริษัทใหญ่ๆที่เขารู้จักแทบจะไม่มีความคิดเหมือนระบบของเบิร์คไชน์เลย
สิ่งที่โดดเด่นของบัฟเฟตคือการบริหารเงินลงทุน เมื่อไหร่ที่เขาซื้อกิจการ เขาไม่เคยขายและปล่อยให้ผู้บริหารดำเนินกิจการของบริษัทนั้นๆต่อไป นอกเหนือจากนั้นเบิร์คไชน์ยังไม่มีระบบระเบียบขั้นตอนต่างๆเหมือนบริษัทอื่นๆ ถึงแม้จะมีบริษัทในเครือกว่า 60 บริษัทและพนักงานกว่า 340,000 คนทั่วโลก บัฟเฟตไม่ชอบการมองอะไรสั้นๆดังนั้นจึงไม่มีการประเมินกำไรบริษัทต่อไตรมาศ การแตกพาร์ หรือการแจกวอร์แรนต์
การบริหารแบบบัฟเฟตอาจจะไม่เหมาะกับบริษัทอื่นๆและมีบางคนท้วงติงว่าการบริหารแบบนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ แต่ถ้าดูจากผลงานของบัฟเฟตในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นเบิร์คไชน์เพิ่มขึ้น 12,000 เท่า ขณะที่ดัชนีดาวน์โจนส์เพิ่มขึ้นแค่ 18 เท่า มูลค่าตลาดของเบิร์คไชน์อยู่ที่ 350,000 ล้านเหรียญซึ่งใหญ่เป็นอันดับสามของตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ผู้บริหารบริษัทอื่นๆน่าจะเรียนรู้จากบัฟเฟตมากกว่านี้
ที่น่าประหลาดใจก็คือ การเข้าซื้อกิจการแบบเป็นมิตรของบัฟเฟตกลับถูกละเลยเมื่อเขาซื้อบริษัทเบิร์คไชน์ใหม่ๆ บัฟเฟตเขียนในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเบิร์คไชน์ประจำปี 2015 ว่าหลังจากที่เขาซื้อหุ้นของเบิร์คไชน์ที่เป็นกิจการสิ่งทอที่กำลังถูกคุกคามจากคู่แข่งที่มีต้นทุนที่ถูกกว่าทำให้เขาไม่ชอบกลยุทธของผู้บริหารเดิม เขาซื้อหุ้นเพิ่มจนสามารถควบคุมบริษัทได้จากนั้นก็ไล่ผู้บริหารเดิมออกและเข้าเป็นซีอีโอของบริษัทแทน ตอนนั้นบัฟเฟตอายุ 34 ปี
บทเรียนบทแรกของบัฟเฟตจากการสังเกตข้อผิดพลาดของผู้บริหารเดิมคือ อย่าใส่เงินที่ดีในกิจการที่กำลังแย่ ถึงแม้จะเป็นธุรกิจที่บริษัทกำลังดำเนินกิจการอยู่ เบิร์คไชน์มีปัญหากับกิจการสิ่งทอเป็นเวลากว่า 20 ปี ในเวลาเดียวกันบัฟเฟตนำเงินของเบิร์คไชน์ไปลงทุนในกิจการอื่นๆที่ดีกว่า หลังจากที่บัฟเฟตปิดกิจการสิ่งทอในปี 1985 เบิร์คไชน์เป็นเจ้าของกิจการต่างๆจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประกัน หนังสือพิมพ์ โรงงานหรือร้านขนม รวมทั้งเงินลงทุนในตลาดหุ้นอีกมาก
เมื่อกองทุนหุ้นส่วนบัฟเฟต (Buffet Partnership) ของเขาคืนเงินให้ผู้ถือหน่วยลงทุน บัฟเฟตกลายเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของเบิร์คไชน์ ทุกวันนี้เบิร์คไชน์บริหารแบบกองทุน คณะกรรมการของเบิร์คไชน์ได้เงินค่าเบี้ยประชุมน้อยมากและไม่มีการประกันความเสียหายจากการฟ้องร้องให้กับกรรมการ กรรมการส่วนใหญ่ถือหุ้นเบิร์คไชน์จำนวนมากนั่นหมายความว่ากรรมการของบริษัทมั่นใจในกิจการของบริษัทนั้นๆซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อยมากในตลาดหุ้นสหรัฐ
บัฟเฟตไม่ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่ผลักดันหุ้นระยะสั้นเพราะเขาต้องการให้ผู้ถือหุ้นบริษัทระยะยาว เขาแทบจะไม่ใช้หุ้นในการซื้อกิจการเพราะไม่ต้องการที่จะลดสัดส่วนของหุ้นของเดิม