บริหารสไตล์บัฟเฟต (2)/วิบูลย์ พึงประเสริฐ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

บริหารสไตล์บัฟเฟต (2)/วิบูลย์ พึงประเสริฐ

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร ต.ค. 06, 2015 12:47 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ในหนังสือฟอร์จูนฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2558 ได้ลงบทความเกี่ยวกับวอร์เรน บัฟเฟตในฐานะที่เขาบริหารบริษัทเบิร์คไชน์มาเป็นเวลา 50 ปี เนื้อหากล่าวถึงสไตล์การบริหารกิจการแบบบัฟเฟตที่บริษัทใหญ่ๆในอเมริกาไม่สามารถนำไปใช้ได้ (ต่อจากบทความที่แล้ว)

    บัฟเฟตไม่เห็นด้วยกับการให้สต๊อคออปชั่น (Stock Option) เพราะให้ประโยชน์ของผู้บริหารต่างจากนักลงทุนทั่วไป นอกเหนือจากนั้นการจ่ายเงินเดือนให้กับผู้บริหารของเบิร์คไชน์ถือว่าน้อยมากๆ บัฟเฟตและชาร์ลี มังเกอร์รับเงินเดือนปีละ 100,000 เหรียญเท่านั้น ขณะที่ผู้บริหารบริษัทใหญ่ๆในอเมริการับเงินเดือนปีละหลายล้านเหรียญ

    ผู้บริหารบริษัทอื่นๆอยู่ด้วยความกลัวจากการกดดันของวอลล์สตรีท จึงให้ความสนใจกับผลคอบแทนระยะสั้นของบริษัท การแตกพาร์เพื่อความสภาพคล่องของหุ้นและการแตกบริษัทลูกเพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการเป็นสัญญานของความนึกคิดของผู้บริหารคนอื่นๆของบริษัทในตลาดหุ้น

    บัฟเฟตเรียนรู้สไตล์การบริหารงานเช่นนี้จากทอม เมอฟี่ (Tom Murphy) ประธานบริษัทแคปิตอลซิตี้เอบีซี (Capital Cities/ABC) ในขณะที่เขาถือหุ้นบริษัทนี้จำนวนมากและปัจจุบันเมอฟี่ยังคงนั่งเป็นกรรมการของเบิร์คไชน์ บริษัทมหาชนที่ต้องการเลียนแบบการบริหารแบบบัฟเฟตมักไม่ประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น บริษัทเจเนอรัล มอเตอร์ (GM – General Motor) ที่นักลงทุนระยะสั้นต้องการให้จีเอ็มจ่ายเงินปันผลออกมาเป็นเงินสดจำนวนมาก ทั้งๆที่จีเอ็มเพิ่งผ่านการฟื้นฟูกิจการจากการล้มละลายเพียงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ผู้บริหารบริษัทส่วนใหญ่กลัวที่จะถูกเทคโอเวอร์หรือการครอบงำกิจการจากนักลงทุนรายใหญ่ ขณะที่บัฟเฟตถือหุ้นใหญ่ในเบิร์คไชน์ช่วยให้เขาไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันเหล่านี้

    บัฟเฟตเขียนไว้ในรายงานประจำปีว่า “เราเชื่อมั่นในผู้บริหารของเราในการดำเนินธุรกิจ” แต่ก็มีเรื่องเกิดขึ้นจนได้ ในปี 2011 เดวิด โซคอล (David Sokol) ผู้บริหารธุรกิจพลังงานของเบิร์คไชน์ถูกเปิดโปงว่าได้ลงทุนเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญในบริษัทหนึ่งและแนะนำให้เบิร์คไชน์ซื้อบริษัทนั้น สุดท้ายโซคอลก็ต้องลาออกจากเบิร์คไชน์ด้วยเรื่องนี้ทั้งๆที่เขาเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะมาบริหารบริษัทแทนบัฟเฟตในอนาคต ถึงอย่างไรก็ตาม บัฟเฟตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารของเขาแต่อย่างใด เพราะถ้าเขาทำให้ทุกอย่างต้องได้รับการอนุมัติจากเขา สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือจะทำให้การตัดสินใจในทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทลูกช้าลงและอาจพลาดโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้น ที่สำคัญการรวบศูนย์อำนาจการตัดสินใจเช่นนี้ไม่ได้รับประกันว่าปัญหาจะไม่เกิดขึ้นอีก

    หรือระบบของเบิร์คไชน์ใช้ได้ดีเพราะบัฟเฟตบริหาร มังเกอร์บอกว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถทำได้แบบที่บัฟเฟตทำ ถ้าคณะกรรมการบริษัทให้บัฟเฟตเกษียณอายุตอนเขาอายุ 65 ปี ผู้ถือหุ้นเบิร์คไชน์คงรวยน้อยกว่านี้มาก

    ทำไมบริษัทอื่นๆทั่วโลกถึงไม่สามารถนำวิธีการบริหารแบบบัฟเฟตไปใช้ได้ นั่นเป็นเพราะบริษัทใหญ่ๆนั้นมักจะมีระเบียบข้อบังคับของบริษัทมากมาย นอกเหนือจากนั้นผู้บริหารส่วนใหญ่ยังต้องการผลตอบแทนระยะสั้นมากกว่าผลประโยชน์ระยะยาวของบริษัท มังเกอร์เคยเขียนเอาไว้ว่า “ระบบการบริหารของเบิร์คไชน์สามารถนำไปกระยุกต์ใช้ได้กับบริษัทอื่นๆทั่วโลก เพียงแต่บริษัทเหล่านั้นต้องลดความซับซ้อนของระบบระเบียบขั้นตอนการทำงานของตัวเองลง และคิดว่าขั้นตอนต่างๆที่มากมายเหล่านั้นคือมะเร็งที่กัดกินบริษัท” เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะมีสักกี่บริษัทในโลกที่สามารถทำได้เช่นนั้น
[/size]



ตอบกลับโพส