โค้ด: เลือกทั้งหมด
สำหรับนักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนรายย่อยแล้ว ตลาดหุ้นในปี 2558 น่าจะเป็นปีที่ “เลวร้าย” อีกปีหนึ่งหลังจากภาวะตลาด “วิกฤติ” ในปี 2551 ซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ซับไพร์มในอเมริกาที่ตลาดหุ้นตกลงไปเกือบ 50% แต่หลังจากนั้น หุ้นไทยก็ปรับตัวดีขึ้นมามาก ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นจากประมาณ 450 จุดเมื่อสิ้นปี 2551 เป็นประมาณ 1500 จุดเมื่อสิ้นปี 2557 หรือปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.32 เท่าในเวลา 6 ปี คิดเป็นการเติบโตขึ้นถึงปีละประมาณ 22.19% ต่อปีแบบทบต้น แต่ถ้ารวมปันผลด้วยปีละประมาณ 3% ก็เท่ากับว่านักลงทุนที่ลงทุนหลังวิกฤติตลาดหุ้นในปี 2551 ได้รับผลตอบแทนปีละประมาณ 25% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น ทำให้เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่เหนือไปกว่านั้นอีกก็คือ นักลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นตัวเล็กซึ่งรวมถึง “VI” จำนวนมากนั้น สามารถทำกำไรดีกว่านั้นมาก และทำให้เกิด “เศรษฐีตลาดหุ้น” จำนวนไม่น้อย
จริงอยู่ ในเวลา 6 ปีนั้น ก็มีช่วงที่ตลาดหุ้นตกลงมาแรงเป็นระยะแต่ตลาดก็ปรับตัวกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้ามองเป็นรายปีก็จะเห็นว่ามีเพียง 2 ปีที่ตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาคือในปี 2254 ที่ตลาดปิดลบลงเพียง 0.7% และปี 2556 ที่ตลาดตกลงมาประมาณ 6-7% ซึ่งถือว่าน้อยมากจนนักลงทุนแทบไม่รู้สึกเนื่องจากปีก่อนหน้านั้นตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 30-40% ดังนั้น หุ้นและตลาดหุ้นจึงกลายเป็นสถานที่ “ยอดนิยม” และเป็นความหวังและความฝันของคนจำนวนมากโดยเฉพาะที่เป็นคนรุ่นใหม่และคนที่ทันสมัยและมีฐานะการเงินที่ดี เป็นคน “ชั้นสูง” ของสังคม แต่ดูเหมือนว่าความคิดและความเชื่อนั้นอาจจะกำลัง “สั่นคลอน” เริ่มตั้งแต่ไตรมาศสองของปีนี้ที่ตลาดหุ้นเริ่มตกลงมา “อย่างต่อเนื่อง” จนล่าสุด ดัชนีตลาดลดลงเหลือประมาณ 1285 จุดในวันที่ 18 ธันวาคม 2258 เป็นการลดลงประมาณ 200 จุดหรือ 14.2% และคนที่เจ็บหนักที่สุดก็คือนักลงทุนรายย่อยที่น่าจะขาดทุนมากกว่านั้นเนื่องจากหุ้นตัวเล็ก “ยอดนิยม” จำนวนมากน่าจะมีราคาลดลงมากกว่านั้น
ประเด็นที่น่าวิตกมากว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นก็คือ อนาคตของตัวหุ้นและตลาดหลักทรัพย์ เพราะถ้าสถานการณ์และภาวการณ์ต่าง ๆ ยัง “เหมือนเดิม” เมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว การปรับตัวลงของราคาก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องที่ “ปกติ” และในไม่ช้าราคาและดัชนีหุ้นก็จะปรับตัวกลับขึ้นไป ตลาดหุ้นไทยก็จะกลับมาคึกคักและเป็นที่นิยมเหมือนเดิมในเวลาอันสั้น แต่ถ้าไม่ใช่ และหุ้นและตลาดหุ้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปมากทางด้านของ “พื้นฐาน” ของกิจการและตลาด เราก็จะต้องเตรียมการรับมือกับมันเพื่อที่จะสามารถเอาตัวรอดได้
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้อนาคตจริง ๆ ผมเองก็ได้แต่ “คาดเดา” จากประสบการณ์และประวัติศาสตร์เท่าที่จะทำได้ แต่ปี 2558 นั้น ผมคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นซึ่งมีโอกาสที่จะเปลี่ยน “โครงสร้าง” ของการแข่งขันและหุ้นของหลายอุตสาหกรรมอย่าง “สิ้นเชิง” ได้ การเปลี่ยนแปลงที่ผมเริ่มคิดและเชื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นนั้นจะเป็นเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไม่หวนกลับ ถ้าจะนึกถึงคำที่ใช้นั้นผมก็อยากจะเรียกมันว่า “Wind Of Change” ตามเพลงดังของวง The Scorpions ในปี 1989 ที่พรรณนาถึงสถานการณ์ทั่วไปในยุโรปตะวันออกที่กำลังเกิดการ “ล่มสลาย” ของกลุ่มรัฐโซเวียตรัสเซีย ที่ยุติสงครามเย็นและเริ่ม “ศักราชใหม่” ของกลุ่มประเทศยุโรป
Wind Of Change ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจทีวีดิจิตอลที่เปลี่ยนแผนภูมิการแข่งขันของธุรกิจทีวี “อย่างสิ้นเชิง” และผลของมันก็เริ่มเห็นแล้วเพียงแต่ยังไม่สิ้นสุดและผลสุดท้ายจะลงตัวที่จุดไหนยังไม่สามารถบอกได้ แต่เนื่องจากหุ้นกลุ่มบันเทิงเองนั้นเป็นหุ้นกลุ่มเล็กที่มีผลกับตลาดหุ้นน้อย ดังนั้น ผลกระทบต่อนักลงทุนและตลาดหุ้นก็มีน้อยมาก
หุ้นกลุ่มใหญ่กลุ่มแรกที่เกิด Wind Of Change อย่างที่ไม่ใคร่มีใครคาดคิดมาก่อนก็คือหุ้นในกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะน้ำมัน ก่อนหน้านี้คนหรือนักลงทุนมีความคิดและเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า กิจการที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันป้อนคนไทยทั้งประเทศนั้นจะต้องเป็นหุ้นที่มั่นคงและยิ่งใหญ่ “ตลอดกาล” ราคาหรือ Market Cap. ของหุ้นนั้นจะต้องใหญ่โต “สมศักดิ์ศรี” แม้ว่าในบางครั้งอาจจะตกลงมาบ้างเนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมัน แต่มันก็จะลงมาระดับหนึ่งไม่มากมายนักและในเวลาต่อมาก็จะปรับตัวกลับขึ้นไปเสมอเมื่อภาวะตลาดน้ำมันดีขึ้น แต่ถึงวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ราคาน้ำมันตกลงไปมากเกินกว่าที่จะเป็นไปได้จากความผันผวนธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงธรรมดา มันคล้าย ๆ กับว่าโอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับมาแพงขึ้นเหมือนเดิมนั้นเป็นไปไม่ได้เนื่องจาก “โครงสร้าง” ของการใช้พลังงานและการจัดหาพลังงานของโลกนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเหมือน “กระแสลม” ที่โหมกระหน่ำพัดพาสิ่งเก่า ๆ ออกไปและมีสิ่งใหม่มาแทนที่ นาทีนี้เราอาจจะยังไม่รู้ชัดว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้และรู้สึกว่าธุรกิจน้ำมันอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เช่นเดียวกับหุ้นของกิจการน้ำมันที่ลดลงมาหลายเท่าและอาจจะไม่กลับไปที่เดิมอีกเลย ดังนั้น คนที่คิดจะเล่นหุ้นน้ำมันอาจจะต้อง “ลบความจำ” เดิมที่มีอยู่เกี่ยวกับหุ้นน้ำมันทิ้ง อย่าไปนึกถึงหรือวิเคราะห์ภาพเก่า ๆ ที่เราคุ้นเคย
หุ้นกลุ่มใหญ่มากอีกกลุ่มหนึ่งที่ผมกำลังเป็นห่วงว่ามันอาจจะเกิด Wind Of Change อีกเช่นกันก็คือ หุ้นบริษัทมือถือ นี่คือธุรกิจที่อาจจะกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงโดยที่คนอาจจะยังไม่ตระหนัก เรายังนึกถึงภาพเก่า ๆ ของธุรกิจที่มียอดขายเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีกำไรต่อยอดขายและกำไรต่อส่วนของการลงทุนและผู้ถือหุ้นสูงลิ่วเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันจำกัด แต่นั่นอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเข้ามาของบริษัทใหม่และบริษัทเก่าที่มีความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยกว่าแต่กำลังมีศักยภาพสูงขึ้นมาก ผลจากการนั้นอาจจะทำให้ “โครงสร้าง” การแข่งขันของอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงและนั่นอาจจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของรายได้และการทำกำไรของแต่ละบริษัทที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราอาจจะไม่ต้องลบความจำเดิมทั้งหมด แต่การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มสื่อสารมือถือและทางอินเตอร์เน็ตใหม่ โดยการหารูปแบบใหม่ที่เหมาะสมโดยเฉพาะจากต่างประเทศมาเป็นฐานใหม่ของการวิเคราะห์หุ้นในกลุ่มนี้
ผมเองยังไม่แน่ใจว่าจะมีหุ้นกลุ่มไหนที่กำลังอยู่ในโหมด Wind Of Change หรือไม่ แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงหรือคิดว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นก็คือ กระแสการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยเราเอง สถานการณ์หลาย ๆ เรื่องในด้านของ “ภาพใหญ่” ของประเทศนั้น ดูคล้าย ๆ กับว่าอาจจะไม่ใคร่เหมือนเดิมอย่างที่เราคุ้นเคย ในด้านอื่นนั้นผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่ในด้านที่เกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้นนั้น ผมต้องศึกษาและวิเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับหุ้นและตลาดหุ้น ในภาพใหญ่นั้น ความรู้สึกของผมก็คือ เรากำลัง “แก่ตัวลง” อย่างรวดเร็ว พละกำลังและความมุ่งมั่นของเราถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเรากำลัง “จมอยู่กับอดีต” มากกว่าการมองไปที่อนาคตเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน สินค้าและการผลิตของเรานั้นเป็นสิ่งเก่ามากกว่าสิ่งใหม่ คนจำนวนมากคิดว่าเราอยากจะเป็นแบบ “ไทย ๆ” และไม่อยากที่จะเหมือนคนอื่น เรา “ไม่แคร์” ที่จะต้องก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับของคนอื่นในโลก ซึ่งนี่ก็คือสัญญาณของความแก่อีกอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา 4-5 ปีที่ถดถอยลงมาก ซึ่งทำให้มันไม่ใช่ความผันผวน แต่อาจจะเป็น Wind Of Change ที่ได้ก่อตัวมาระยะหนึ่งแล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เมื่อมาคิดอีกทีก็รู้สึกว่าผมอาจจะใช้คำที่ไม่ใคร่ตรงกับต้นกำเนิดของชื่อเพลงที่มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพลง Wind Of Change นั้นสร้างจิตวิญญาณและความรู้สึกแห่งความหวังของชาวยุโรปโดยเฉพาะในเยอรมันมากในช่วงนั้น แต่เรื่องที่ผมพูดนั้น ถ้ามองในแง่ของนักลงทุนแล้วอาจจะกลายเป็นเรื่องที่หดหู่ อย่างไรก็ตาม มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกับคนทั่วไปและประเทศที่เราจะได้สินค้าและบริการที่ดีและถูกลง ในเรื่องของประเทศไทยเองนั้น ผมก็ยังหวังว่า เมื่อถึงจุดแห่งการเปลี่ยนแปลง เราจะพลิกมันให้เป็นโอกาสที่จะทำให้เราก้าวหน้าขึ้นได้ ถึงจุดนี้ผมก็เลยต้องกลับมาที่คำสอนที่ผมเคยได้รับรู้มาตลอดที่ว่า “อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง” เพราะนั่นคืออาการของคนแก่ มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เรากลัว มันอาจจะ “พลิก” ดีขึ้นก็ได้