เทรนด์เปลี่ยนโลก/วีระพงษ์ ธัม

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เทรนด์เปลี่ยนโลก/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ โดย Thai VI Article » ศุกร์ ม.ค. 08, 2016 3:55 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ก่อนอื่นขอใช้โอกาสนี้สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน ขอให้ปีใหม่นี้ธุรกิจและการลงทุนของท่านประสบความสำเร็จ และผมจะใช้พื้นที่นี้ นำเอาไอเดียธุรกิจและการลงทุนมาแบ่งปันกันต่อไปครับ

    เหมือนทุก ๆ ต้นปีเราจะมาทบทวน “ทิศทางลม” เพราะถ้าเราอยู่ในร่องลมที่ถูกต้อง แม้การเดินเรือจะผิดพลาดไปบ้าง ก็จะทำให้เกิดความเสียหายไม่มากนัก  และทำให้เราสามารถจัดสรรทรัพยากรไปในจุดที่สำคัญได้ บัฟเฟตต์พูดว่าทักษะในการจัดสรรทรัพยากรเงินทุนมีผลต่อมูลค่าธุรกิจมาก เราจะเห็นความรุ่งเรืองและล่มสลายของบริษัท รัฐชาติเสมอ ๆ ด้วยสาเหตุของการจัดสรรทรัพยากรที่ผิดพลาด

    ในอดีตเราจะรู้สึกว่าทรัพยากรอะไรที่ใช้แล้วหมดไป หรือมีแนวโน้มจะขาดแคลน จะมีคุณค่าสูงมาก อาหารหายากในยุคศักดินา มนุษย์จึงควบคุมที่นา แต่ยุคนี้ อาหารไม่ได้เป็นสิ่งที่ขาดแคลน ที่นามีมูลค่าลดลง แต่ที่ดินในเมืองมีมูลค่าสูงลิ่ว เรามียุคสงครามแย่งชิงน้ำมัน แต่กลับมาเจอราคาน้ำมันที่ตกต่ำลง จนอาจจะมีค่าน้อยลงมากในอนาคต ดังนั้นตัวแปรไหนบ้างที่ทำส่งผลกับมูลค่าทรัพยากร?

    1. เทคโนโลยี นี่คือตัวแปรหลักที่จะเปลี่ยนมูลค่าของทรัพยากรในโลก ดินดำอย่างน้ำมันไม่เคยมีคุณค่าถ้ามันไม่ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์  ประเทศอเมริกาคือผู้นำด้านเทคโนโลยีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 มีบริษัทที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่อย่างดูปอง ผู้คิดค้นเทฟลอน ไนลอน บริษัทยาอย่างไฟเซอร์ที่ผลิตยารักษาโรค จนถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ที่ให้กำเนิดอินเตอร์เน็ต อเมริกาจึงครอบครองสิ่งที่เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าอยู่เสมอ ๆ ด้วยเทคโนโลยีที่เหนือกว่า

    อย่างไรก็ดีทิศทางของบริษัทในประเทศจีนที่มีการเพิ่มงบประมาณวิจัยมหาศาล ถึง 78.2% ในช่วงห้าที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับ 7% ของสหรัฐอเมริกา ก็เป็นส่วนที่ทำให้เราเริ่มเห็นบริษัทจีนก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลาดหุ้นเซินเจิ้นซึ่งถือเป็นตลาดสำหรับหุ้นไฮเทคขนาดเล็ก ก็มีผลตอบแทนปี 2558 สูงที่สุดในโลก บริษัทไทยไม่ได้อยู่ในฐานะผู้คิดเทคโนโลยี แต่เราเป็นผู้ใช้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องติดตาม ตัวอย่างเช่น NetFlix ที่ให้บริการวีดีโอออนดีมาน และเป็นหนึ่งในบริษัทที่สร้างผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนสูงที่สุดใน Fortune 500 บริษัทได้จัดสรรทรัพยากร “รายการทีวีและหนัง” และสามารถ “จัดการจำหน่ายได้ดีกว่า” ทำให้เรตติ้งก้าวขึ้นมาแซงทีวีแบบดั้งเดิมทั้ง abc, NBC, CBS, Fox จนอาจจะทำให้ธุรกิจทีวีในอนาคตเปลี่ยนไปตลอดกาล หรือเทคโนโลยีหุ่นยนต์ Robot เราเคยกลัวว่าสังคมผู้สูงวัย คนแก่ตัวลง ไม่มีคนทำงาน แต่เอาเข้าจริง ๆ ในอนาคต งานจะมีน้อยลง เพราะหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ บริษัทจำนวนมากลงทุนใน Robotics อุตสาหกรรมนี้จะทำให้การจัดสรรทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ

    2. Ecosystem เทคโนโลยีด้านการผลิตเป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบกันง่ายมากขึ้น ทรัพยากรการผลิตหาง่าย เครื่องจักรในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ใช้เงินหาซื้อได้ทั่วไป ผลตรงนี้ทำให้ธุรกิจการผลิตย้ายฐานการผลิตง่ายมาก พร้อม ๆ กับการแข่งขันที่รุนแรงตลอดเวลา แต่สิ่งที่ทำให้ทรัพยากรมีค่าและเลียนแบบยากคือ Ecosystem นี่เป็นสาเหตุที่อุตสาหกรรมที่ต้องการ Ecosystem ที่ใหญ่และซับซ้อนอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงแข็งแรงในประเทศไทยได้ หรือธุรกิจอย่าง APPLE สามารถเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแง่ Market Capitalization ได้โดยห่างอันดับสองแบบไม่ทิ้งฝุ่น โดยการสร้าง Ecosystem ทั้งในส่วน Software คือการสร้างกลุ่มคนทำ apps ขายเพลง ขายหนัง ขายหนังสือ รวมไปถึง Hardware คือสร้าง Accessories และ Apple Store ที่สวยงาม ดังนั้นธุรกิจในอนาคตต้องสร้าง Ecosystem ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่เน้นแต่การสร้างสินค้าและบริการอย่างเดียว เพราะนี่คือการเพิ่มมูลค่าทรัพยากร

    3. เงินทุน ในอดีตเงินทุนเป็นสิ่งหายาก เราจะเห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยธนาคารที่สูงลิ่ว จนเราเริ่มพัฒนาตลาดทุน ตลาดการเงินทำให้สามารถระดมทุนได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันธุรกิจ Venture Capital ก็เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด มี Startups มากมาย แต่ในปี 2559 มีการคาดการณ์ว่า เทคโนโลยีใหม่ด้าน Crowd Funding หรือการระดมทุนผ่าน “คนธรรมดา” จะแซงการระดมทุนผ่าน Venture Capital ด้วยเม็ดเงินมากกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทุนจะเป็นสิ่งที่หาง่ายขึ้น แต่ไอเดียคือสิ่งที่คนแสวงหา และนี่คือเวทีระดมทุนที่สมบูรณ์แบบ เพราะเราจะได้ประโยชน์จากภูมิปัญญาของกลุ่ม (Wisdom of Crowds) และลดต้นทุนการระดมทุนได้มหาศาล ส่วนแหล่งทรัพยากรทุนดั้งเดิมในมุมกลับกัน จะเริ่มมีต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย แนวโน้มของ ทรัพยากร “ทุน” ก็อาจจะเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

    โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือนอกจากเราจัดสรรทรัพยากรให้กับธุรกิจ ให้กับการลงทุนเราแล้ว อย่าลืมจัดสรรทรัพยากรให้กับสุขภาพกาย สุขภาพใจเราเองครับ ขอให้มีความสุขตลอดปี 2559 นะครับ
[/size]



ภาพประจำตัวสมาชิก
นายมานะ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 642
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 06, 2013 5:02 pm

Re: เทรนด์เปลี่ยนโลก/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ โดย นายมานะ » เสาร์ ม.ค. 09, 2016 10:34 am

เป็นบทความที่เยี่ยมเหมือนเคยครับพี่หลินจือ ขออนุญาตแย้งนิดนึงนะครับ ตอนนี้ APPLE ไม่ได้ทิ้งห่างอันดับ 2 ขาดเหมือนเดิมแล้วนะครับ MKT CAP ในปัจจุบันห่างกันไม่ถึง 10% แล้วครับ

ทุ่มเททั้งหมดให้กับความฝัน ที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น


ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhichange
User
กระทู้: 1160
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm

Re: เทรนด์เปลี่ยนโลก/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ โดย Linzhichange » เสาร์ ม.ค. 09, 2016 8:22 pm

ขอบคุณครับตู้ เรื่องตัวเลข น้องตู้มีข้อมูลมั๊ย ผมใช้ Ranking ของ FT Global 500 ปี 2015 มาเขียนน่ะครับ
ข้อมูลเค้าน่าจะ official ช่วง H1/2015

การสลับคือ oil & gas นี่อันดับตกวูบ หายไปยกแผงเลย
ส่วน tech พวก software นี่อันดับขยับขึ้นเยอะมาก

Global rank 2015 Global rank 2014 Company Country Market value $m
1 1 Apple US 724,773.1
2 2 Exxon Mobil US 356,548.7
3 5 Berkshire Hathaway US 356,510.7
4 4 Google US 345,849.2
5 3 Microsoft US 333,524.8
6 16 PetroChina China 329,715.1
7 7 Wells Fargo US 279,919.7
8 6 Johnson & Johnson US 279,723.9
9 21 Industrial & Commercial Bank of China China 275,389.1
10 14 Novartis Switzerland 267,897.0

ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.


ภาพประจำตัวสมาชิก
นายมานะ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 642
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 06, 2013 5:02 pm

Re: เทรนด์เปลี่ยนโลก/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ โดย นายมานะ » จันทร์ ม.ค. 11, 2016 2:23 pm

ปกติดูผ่านเว็บนี้ครับพี่

http://www.dogsofthedow.com/largest-com ... et-cap.htm

AAPL Apple 1 540.6
GOOGL Alphabet 2 502.7
MSFT Microsoft 3 418.0
BRK-A Berkshire Hathaway 4 318.6
XOM Exxon Mobil 5 310.9
GE General Electric 6 287.6
AMZN Amazon.com 7 284.6
FB Facebook 8 275.2
JNJ Johnson & Johnson 9 271.6
WFC Wells Fargo 10 253.1

ข้อดีคืออัพเดทค่อนข้างจะ real time ส่วนข้อเสียคือมีแต่หุ้น US เป็นหลักครับ พวกหุ้นจีนอย่าง Bank of china (1398) ก็ไม่ติดครับ (ลองกดคำนวณดูเร็วๆ ถ้า Bank of china น่าจะติดอันดับ 10 พอดี)

ทุ่มเททั้งหมดให้กับความฝัน ที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น


ตอบกลับโพส