ผลกระทบข้างเคียงของนโยบายดอกเบี้ยต่ำและคิวอี/ดร.ศุภวุฒิ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ผลกระทบข้างเคียงของนโยบายดอกเบี้ยต่ำและคิวอี/ดร.ศุภวุฒิ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ เม.ย. 11, 2016 3:32 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้อย่างเชื่องช้าและเปราะบาง มองเห็นได้จากดอกเบี้ยที่ต่ำติดดินทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและดอกเบี้ยระยะยาว เพราะดอกเบี้ยเป็นตัวสะท้อนต้นทุนทางการเงิน ซึ่ง หากต้นทุนทางการเงินต่ำเป็นประวัติการณ์แล้ว แต่เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัวก็แปลว่าการลงทุนที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพียง 2-3% ก็จะต้องให้ผลตอบแทนต่ำเช่นกัน ซึ่งการลงทุนนั้นคือการกำหนดการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวนั่นเอง กล่าว คือดอกเบี้ยที่ต่ำทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาวคือการส่งสัญญาณที่ชัดเจน ว่า เศรษฐกิจโลกในอนาคตจะขยายตัวในระดับต่ำอย่างแน่นอน โดยไม่ต้องมีข้อสงสัย

หรือมองอีกด้านหนึ่งคือการสร้างหนี้ที่เกิดขึ้นในอดีตของภาคการผลิต จากนโยบายดอกเบี้ยต่ำที่ทำให้กู้ยืมเงินได้มากขึ้น การลงทุนเก่าก็ไม่ต้องโละทิ้ง (เพราะต้นทุนทางการเงินต่ำ) ทำให้ภาคการผลิตแบกหนี้สินมาก (ด้านขวาของงบดุล) และมีกำลังการผลิตสูงเกินความต้องการ (ด้านซ้ายของงบดุล) ดังนั้นนโยบายดอกเบี้ยใกล้ศูนย์เป็นเวลานาน 8 ปี จึงทำให้โลกในวันนี้คือโลกที่แบกหนี้มากและมีกำลังการผลิตเกินความต้องการ ซึ่ง ธนาคารกลางก็ไม่กล้าปรับดอกเบี้ยขึ้น เพราะหากทำเช่นนั้นก็กลัวว่าลูกหนี้ทั้งหลายจะมีปัญหาทำให้เศรษฐกิจฟุบตัว ได้ ดังนั้นนโยบายดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติเป็นเวลานาน จึงดูเสมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติและอาจต้องเป็นไปเช่นนี้ต่อไปอีกหลายปี

ดังนั้น จึงเกิดปรากฎการณ์ที่คาดไม่ถึง คือการกดดอกเบี้ยให้ต่ำลงเป็นประวัติการณ์นั้น แทนที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ซึ่งควรนำมาซึ่งการปรับขึ้นของราคาสินค้าและบริการอย่างยกแผง แต่ผล กลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือยิ่งกดดอกเบี้ยลงต่ำก็ยิ่งทำให้เงินเฟ้อขยาย ตัวกว่าเป้า (หรือติดลบเช่นเดิม) และแม้จะออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมไปอีก ก็ไม่ได้มีผลตอบสนองในเชิงของการกระตุ้นเศรษฐกิจดังที่คาด และหลายกรณีกลับได้ผลในทางตรงกันข้าม

เช่น การปรับดอกเบี้ยเงินฝากส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นมาเป็น ติดลบ (ธนาคารที่ฝากเงินต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น)ในเดือนกุมภาพันธ์ กลับส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ในทำนองเดียวกันการเพิ่มปริมาณคิวอีและการขยายการซื้อพันธบัตรให้รวมถึงการ ซื้อพันธบัตรบริษัทเอกชนของอีซีบี ซึ่งมีขอบเขตเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แทนที่จะทำให้เงินยูโรอ่อนค่าตามที่คาดหวัง กลับทำให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นในเดือนมีนาคม ทั้งนี้อีซีบียังรื้อฟื้นโครงการปล่อยกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้ธนาคาร พาณิชย์นำเงินไปปล่อยกู้ต่อ (TLTRO) โดยมีเงื่อนไขพิเศษให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายดอกเบี้ยติดลบ 0.4% ให้กับอีซีบีอีกด้วย (แปลว่าอีซีบีว่าจ้างให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับภาคเศรษฐกิจจริง) ทำจนถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังมิได้มีสัญญาณตอบรับว่า เศรษฐกิจยุโรปจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามเศรษฐกิจสหรัฐนั้นมีแนวโน้มดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อก็ปรับสูงขึ้นและอัตราการว่างงานก็เหลือเพียง 4.9% (เดิมทีมองว่าการว่างงาน 5.5% ก็ถือได้ว่ามีการจ้างงานเต็มอัตราแล้ว) แต่ธนาคารกลางสหรัฐกลับแสดงท่าทีกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลก และคณะกรรมการนโยบายการเงินก็ลดการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยปีนี้จาก 4 ครั้งเป็น 2 ครั้ง ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวอย่างชัดเจน และดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นขาขึ้น ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นและอีซีบียังประกาศชัดเจนว่าการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจยังไม่เป็นที่พอใจ และพร้อมจะมีมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมอีก รวมทั้งการลดดอกเบี้ยให้ติดลบมากยิ่งขึ้น ตรงนี้อาจเป็น การสะท้อนว่าตลาดขาดความมั่นใจว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จะสามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้จริงหรือในที่สุดเมื่อมีการปรับตัวเงินดอลลาร์ ก็อาจแข็งค่าขึ้นอย่างฉับพลันและรวดเร็วได้ ซึ่งเป็นความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

นโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบสุดโต่งนี้ นอกจากจะยังไม่ได้ช่วยให้ผู้ประกอบการโดยรวม (ลูกหนี้) ฟื้นตัวแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยตัวกลางทางการเงิน (ธนาคารพาณิชย์) แต่อย่างใด กล่าว คือการเพิ่มมาตรการคิวอีและดอกเบี้ยติดลบนั้นยิ่งทำให้ราคาหุ้นของธนาคาร พาณิชย์ของสหรัฐและยุโรปปรับตัวลดลงอย่างถ้วนหน้า และปัจจุบันราคาหุ้นของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของโลกที่ซื้อขายกันขณะนี้นั้น ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี (priceเพราะหากสภาพของธนาคารพาณิชย์เป็นเช่นนี้ ก็จะไม่สามารถทำภารกิจหลักของตน คือการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เหตุหนึ่งอาจเป็นการคาดการณ์ว่าจะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือ อาจเป็นผลมาจากการออกกฎหมายและมาตรการควบคุมการดำเนินธุรกิจของธนาคาร พาณิชย์ให้รัดกุมอย่างมาก (เพราะธนาคารพาณิชย์สร้างฟองสบู่และทำความเสียหายให้กับเศรษฐกิจอย่างใหญ่ หลวงในปี 2008) จนกระทั่งธนาคารทำกำไรไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะมาตรการผ่อนคลายทางการเงินโดยเฉพาะคิวอีที่ทำให้ดอกเบี้ย ระยะยาวต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยระยะสั้น เช่นในอดีตดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐประมาณ 2-3% และดอกเบี้ยระยะยาว (พันธบัตร 10ปี) จะประมาณ 5-6% แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยระยะสั้นเท่ากับ 0.25-0.5% ส่วนดอกเบี้ยระยะยาวตกลงมาที่ 1.8% ธนาคารพาณิชย์นั้นทำกำไรจากการระดมเงินฝากโดยจ่ายดอกเบี้ยระยะสั้น เพื่อปล่อยกู้โดยคิดดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยระยะยาว

ในส่วนของผู้ฝากเงิน (เจ้าหนี้) นั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังเห็นได้จากการที่ผู้ฝากเงินบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าดอกเบี้ยต่ำเหลือเกิน ทำให้รายได้ของผู้สูงอายุที่พึ่งพาดอกเบี้ยเป็นรายได้ประจำกังวลใจและระมัด ระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ที่ใกล้เกษียณอายุก็ต้องเร่งออมเงินมากขึ้นกว่าที่ตั้งใจเอาไว้เดิม เพราะผลตอบแทนจากเงินออมลดลง เช่นหากคำนวณว่า ต้องมีรายได้จากเงินออมหลังเกษียณเดือนละ 50,000 บาทนั้น เดิมทีอาจคิดว่าต้องมีเงินออม 10 ล้านบาท เพราะคาดหวังได้ว่าจะได้ผลตอบแทน 6% ต่อปี แต่ในสภาวะปัจจุบันที่การลงทุนซึ่งปลอดภัย (ดอกได้ต้นไม่สูญหาย) นั้นอาจหวังผลตอบแทนเพียง 3% ก็แปลว่าจะต้องออมเงินให้ได้ถึง 20 ล้านบาท จึงจะได้ผลตอบแทนเดือนละ 50,000 บาท

จริงอยู่อัตราเงินเฟ้อก็ลดลงกว่าเดิมมาก แต่บางคนก็มองว่าราคาสินค้าที่ต้องใช้ประจำวันจริงนั้นไม่เห็นราคาลดลง ทำให้ค่าครองชีพโดยรวมยังคงปรับขึ้นมากกว่าลง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการกระตุ้นอุปสงค์เพื่อหวังให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก็เป็น เรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยากยิ่งครับ
[/size]



ตอบกลับโพส