โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในช่วงที่ผ่านมามีคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับการที่เงินบาทแข็งค่าจาก 36 บาทต่อ 1 ดอลลาร์มาต่ำกว่า 35 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ และปัจจุบันอ่อนตัวกลับมาที่ 35.20 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินเองก็กล่าวในแถลงการณ์หลังการประชุมเมื่อ 23 มีนาคม 2016 ว่านโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่แตกต่างกันมากขึ้น “ส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน…ส่งผลให้ เงินบาทโน้มแข็งค่าขึ้นในบางช่วง ซึ่งอาจไม่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเท่าที่ควร”ผมคิดว่าหลายคนที่อ่านข้อความข้างต้นจะไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ ว่านโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้น มีส่วนทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้อย่างไร ซึ่งในความเห็นของผมนั้น คำอธิบายน่าจะเป็นไปในทำนองนี้คือ
1) ธนาคารกลางสหรัฐนั้นเดิมทีเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าปี นี้ควรปรับดอกเบี้ยขึ้น 4 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) แต่ต่อมาเห็นว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มไม่แจ่มใสและคงเกรงว่าเงินเหรียญสหรัฐ จะแข็งค่ามากเกินไป จึงได้เปลี่ยนท่าทีว่าปีนี้น่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นเพียง 2 ครั้ง แปลว่าปลายปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐก็จะยังต่ำกว่า 1% จึงยังต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%
2) ธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นนั้นต่างก็ไม่พอใจที่ เศรษฐกิจของประเทศตนฟื้นตัวไม่ได้ดีเท่าที่ควร และอัตราเงินเฟ้อก็ต่ำกว่าเป้ามาก (จนใกล้จะกลายเป็นภาวะเงินฝืด) และแม้จะเติมมาตรการคิวอีและลดดอกเบี้ยลงให้ต่ำจนติดลบ (ในกรณีของญี่ปุ่น) หรือให้ติดลบมากขึ้น (ในกรณีของยุโรป) เงินเยนและเงินยูโรก็กลับแข็งค่าขึ้น ทำให้เชื่อได้ว่าจะมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มขึ้นอีกใน 2-3 เดือนข้างหน้า
3) ความเป็นห่วงเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนรวมทั้งความกังวล เกี่ยวกับการอ่อนตัวของค่าเงินหยวนได้ทุเลาลงไปมากในระยะหลัง ทำให้ตลาดมีความมั่นใจในเสถียรภาพของค่าเงินหยวน ซึ่งส่งผลให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพของค่าเงินประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งประเทศไทย
4) ประเทศไทยนั้นมีลักษณะพิเศษคือเกินดุลบัญชีเดิน สะพัดสูงมากในปีที่แล้ว คือเกินดุลประมาณ 31,600 ล้านเหรียญ (1.13 ล้านล้านบาท) ซึ่งมีความหมาย 2 ประการคือ 1. คนไทยใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ (กำลังซื้อในประเทศหดตัว) มากถึง 8% ของรายได้ (จีดีพี) และ 2. จึงมีเงินสดเป็นเงินตราต่างประเทศ (ที่ เหลือใช้) ไหลเข้าประเทศเดือนละ 2,600 ล้านดอลลาร์ แปลว่าเงินบาทมีแนวโน้มจะแข็งค่ามากกว่าอ่อนค่า เพราะจะมีความต้องการนำเงินตราต่างประเทศมาแลกเงินบาทอย่างต่อเนื่อง แม้คนไทยจะมีการนำเงินออกไปซื้อกิจการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นใน 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่ปริมาณที่นำออกไปก็ประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อผลตอบแทนจากเงินสกุลหลักไม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือ เพิ่มขึ้นไม่มาก เช่นในกรณีของสหรัฐ หรืออาจลดลงในกรณีของญี่ปุ่นและยุโรป พร้อมกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่สูงเป็นประวัติการณ์ จึงกำลังเป็นเงื่อนไขให้ต่างชาติขนเงินเข้ามาลงทุนระยะสั้นในเมืองไทย เห็น ได้ว่ามูลค่าการถือครองพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย (พันธบัตรระยะสั้น) โดยต่างชาตินั้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วคือเพิ่มขึ้นกว่า 80,000 ล้านบาทช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้
ทั้งๆ ที่ต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยในปีที่แล้วทั้งปี ประมาณ 20,000 ล้านบาท ทั้งนี้ผมเชื่อว่าการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ได้แจก ข้อมูลให้นักข่าวทราบในวันที่ 23 มีนาคมนั้น แม้ว่าจะปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีลงจาก 3.5% เป็น 3.1% และการส่งออกจากไม่ขยายตัวเป็นติดลบ 2% ในปีนี้ ไม่ได้ลดความเชื่อมั่นในค่าเงินบาทลง เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยปรับการคาดการณ์การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 34,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อนหน้า หมายความว่าแม้การส่งออกของไทยจะย่ำแย่อีกในปีนี้ แต่การส่งออกสุทธิ (การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด) ก็ยังคงสูงต่อเนื่อง
สภาวการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในระยะสั้นคือการไหลเข้าของเงินตรา ต่างประเทศเพื่อมารับผลตอบแทนระยะสั้นที่ค่อนข้างสูงในประเทศไทย (ดอกเบี้ย 1.5%) และ การไหลเข้าของเงินทุนกับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นเพิ่มความเป็นไปได้ที่ เงินบาทจะแข็งค่า ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น สำหรับนักลงทุนต่างชาติซึ่งหากจะไม่เป็นเช่นนั้นก็น่าจะมาจากสาเหตุ 3 ประการคือ
1) ธนาคารกลางสหรัฐกลับลำปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเกิน กว่า 2 ครั้ง เพราะอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นและการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลัวว่าค่าจ้างแรงงานจะต้องปรับเพิ่มขึ้นในที่สุด
2) เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงและ/หรือมีปัญหาเกี่ยวกับหนี้ เสียและเงินไหลออกนอกประเทศ ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับการอ่อนตัวลงของค่าเงินหยวนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญ อีกครั้งหนึ่ง
3) ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าแทรกแซงอย่างต่อเนื่องดัง ที่ได้ทำมาแล้วในเดือนมีนาคม กล่าวคือเข้ามาขายเงินบาท (เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท) และซื้อเงินดอลลาร์ ซึ่งเห็นได้จากการปรับขึ้นของปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยในช่วงเดือน ที่ผ่านมา
แต่ข้อ 3 นั้นเป็นมาตรการที่มีต้นทุนสำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งตลาดคาดว่ามีการแทรกแซงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 35.50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์และในช่วงอื่นๆ ซึ่งแปลว่าการแทรกแซงดังกล่าวน่าจะส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยขาดทุน เพราะซื้อเงินบาทที่ราคาสูงกว่าปัจจุบัน (แต่จะขาดทุนหรือไม่ในปีนี้จะต้องไปตัดสินกันตอนปิดบัญชีในปลายปีนี้)
แต่ที่สำคัญคือการขายเงินบาทเป็นการเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบ ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยยอมให้ดอกเบี้ยลดลงไม่ได้ เพราะได้กำหนด อัตราดอกเบี้ย (นโยบาย) เอาไว้ที่ 1.5% ดังนั้นจึงต้องดูดซับเงินบาทออกจากระบบโดยการขายพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศ ไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งได้มีรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว กล่าวโดยสรุปคือการแทรกแซงเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีทุนสำรอง (สินทรัพย์) เพิ่มขึ้น แต่ในเชิงบัญชีก็ต้องทำให้มีหนี้สินคือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกไป เพิ่มขึ้นพร้อมกันไปด้วย
ปัญหาคือทุนสำรองที่เป็นเงินสกุลดอลลาร์ ยูโรและเยนนั้น ต่างให้ผลตอบแทนต่ำมาก เช่น พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปีก็ให้ดอกเบี้ยเพียง 0.2% แปลว่าทุนสำรองนั้นหากลงทุนได้แต่ในพันธบัตร ก็น่าจะให้ผลตอบแทนไม่ถึง 1% อย่างแน่นอน แต่พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกไปนั้นต้องจ่ายดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ทำให้สินทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทยให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหนี้สินของธนาคาร แห่งประเทศไทยในสภาวะปัจจุบัน
ดังนั้น อาจมองได้ว่าการขอเสนอแก้กฎหมายเพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถนำทุน สำรองส่วนหนึ่งไปลงทุนในตราสารทุนนั้น นอกจากจะเป็น “การบริหารความเสี่ยงที่ดี” เพราะการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนย่อมช่วยในการกระจายความเสี่ยงแล้ว ก็อาจเป็นเพราะว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องบริหาร ทุนสำรองระหว่างประเทศให้ได้ผลตอบแทนสูงขึ้นด้วย แต่ก็เข้าใจถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในหุ้น
อย่างไรก็ดีการที่ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วดำเนินนโยบายคิวอี ทำให้ราคาพันธบัตรสูงจนกระทั่งพันธบัตรประมาณ 20-25% ไม่ ให้ผลตอบแทนเลยและที่เหลือก็ให้ผลตอบแทนต่ำผิดปกติ (หรืออีกนัยหนึ่งคือถูกปั่นราคาให้สูง) ทำให้เล็งเห็นถึงภัยอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการถือพันธบัตรดังกล่าวมาก เกินไป เช่น กองทุนพิมโก้ (กองทุนพันธบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ได้แนะนำลูกค้าให้ลดการลงทุนในพันธบัตรแล้ว เพราะเชื่อว่าราคาพันธบัตรน่าจะปรับลดลงในปีนี้ครับ