หุ้นดี ช้าไปสิบปียังไม่สาย / โดย คนขายของ
มีอยู่หลายครั้งที่นักลงทุนเห็นหุ้นของบริษัทที่เขาคุ้นเคยมีราคาขึ้นไปอย่างไม่น่าเชื่อ คือราวๆ 10-20 เท่าจากราคาที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อน ความรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลงทุนในหุ้นเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นเป็น ธรรมดา แต่หากเราลองมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาเริ่มต้น ตอนที่ราคายังไม่ทะยานขึ้นมา เราอาจจะพอนึกออกว่าเหตุที่เราไม่ลงทุนในหุ้นนั้นๆ เพราะเรายังไม่มั่นใจในบางประเด็นเช่น บริษัทยังเล็ก จะไปรอดไหม? คู่แข่งมากมายจะทำอย่างไร? ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะติดตลาด แค่ไม่กี่ปีแล้วก็ซาไปหรือเปล่า? ซึ่งถ้าเรารอให้ประเด็นที่สงสัยคลี่คลายไป ความเสี่ยงลดลง ถึงแม้ต้นทุนราคาหุ้นอาจจะสูงขึ้น แต่โอกาสทำกำไรนั้นยังคงมีอยู่
ผมมาลองนึกดูว่า หากผมได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในยุคปี 1919 ตอนที่หุ้น โคคา-โคลา (KO) เพิ่งทำ IPO หมาดๆที่ราคา 40เหรียญ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากิจการที่ 30 ล้านเหรียญ ผมจะกล้าลงทุนในกิจการ นี้ไหม? หันมาดูเศรษฐกิจทั่วไปของอเมริกาในยุคนั้น พบว่าตลาดหุ้นในช่วง 1919-1921 นั้นไม่ดี เลย ตลาดหุ้นเป็นขาลงตั้งแต่ ต้นเดือนพฤศจิกายน 1919 (ซึ่งเป็นช่วงที่ KO เข้าตลาดพอดี) จนถึง เดือน สิงหาคม 1921 ใช้เวลาเกือบสองปี โดยดัชนี Dow Jones ลงมาเกือบ 50% ในช่วงเวลานั้น หุ้น KO ก็ได้ปรับลดลงจากราคา IPO ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน คือลงมาเหลือเพียง 19.5 เหรียญ
แล้วสภาวะการแข่งขันในตลาดน้ำอัดลมในช่วงนั้นละเป็นอย่างไร? มีการบันทึกไว้ว่าในช่วงก่อนที่ KO จะเอาหุ้นเข้าตลาด ประมาณสี่ปี ตลาดน้ำอัดลมในสหรัฐอเมริกามีผู้ผลิตเป็นร้อยราย มีแบรนด์ ที่ชื่อดูคล้ายกันเช่น Koka-Nola และ Toka-Cola หรือแม้กระทั่ง KOKE เป็นผลให้ KO เริ่มสูญ เสียส่วนแบ่งการตลาดไปเรื่อยๆ นอกจากนั้นหลังจากเอาหุ้นเข้าตลาดแล้ว บริษัทก็ยังคงมีเรื่องฟ้องร้องกับ “ผู้บรรจุขวด” เรื่องของการตกลงราคาหัวเชื้อ แล้วยังมีข้อผิดพลาดจากการซื้อสัญญาน้ำตาล ล่วงหน้าไว้ในราคาสูง หันมาดูตัวผลิตภัณฑ์ ก็เป็นที่น่าตั้งคำถามว่า น้ำหวานอัดแก๊สสีดำ จะมีความ ยั่งยืนเพียงใด? ดูๆแล้วใครก็สามารถทำได้ไม่ยาก ซ้ำบริษัทยังบอกว่า เพื่อให้รสชาติที่ดี ควรดื่ม แบบเย็น ถ้าอย่างนั้นฤดูหนาวคงหาคนดื่มยาก คงขายได้เฉพาะฤดูร้อนเป็นหลัก
เมื่อพิจารณาจากมุมมองต่างๆข้างต้น ผมเชื่อว่าหากผมได้ไปอยู่ในยุคนั้นผมคงไม่กล้าซื้อหุ้น KO ในช่วง IPO เป็นแน่ แต่เมื่อเวลาผ่านมาอีกเกือบร้อยปี มาในยุคปัจจุบัน ผลปรากฎว่า หากนักลงทุน อ่านขาดและกล้าลงทุนในหุ้น KO ตั้งแต่ IPO พร้อมทั้งนำปันผลไปซื้อหุ้นเพิ่ม และถือจนกลายมา เป็นมรดกให้ลูกหลานในปัจจุบัน จากเงิน 40เหรียญ ก็จะกลายมาเป็นเงินมากกว่า 10 ล้านเหรียญ หรือโตกว่า 250,000 เท่า และถ้าหากใครเข้าซื้อได้ตอนที่หุ้น KO ลงมา 50% จากราคา IPO แน่นอนว่าผลตอบแทนก็ต้องมากกว่าตัวเลขที่เห็นขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ Coca-Cola มีขายในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก กล่าวกันว่าผลิตภัณฑ์ ของบริษัทมีทั้งหมด 3,600 ชนิด ถ้าลองทานวันละชนิดต้องใช้เวลาเกือบสิบปีเลยทีเดียว จากมูลค่า กิจการเพียง 30 ล้านเหรียญ กลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาด 200,000 ล้านเหรียญ แต่ถึง กระนั้นใช่ว่าทุกบริษัทจะเป็นได้อย่าง KO บริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ในสมัยปี 1920 จากจำนวน 20 บริษัทในยุคนั้น เหลือเพียง 6 บริษัท ที่ยังคงเป็นบริษัทจดทะเบียนในปัจจุบัน และมีแค่ 2 บริษัทที่ยังคงจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ
การเกิดขึ้นของกิจการที่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้ผู้ถือหุ้นในระดับเปลี่ยนชีวิตนั้นมีมาอยู่ตลอด แต่เป็นธรรมดาที่ในช่วงเริ่มต้นของบริษัทเหล่านี้ นักลงทุนมักมีคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคต เกี่ยวกับความยั่งยืนของบริษัท เราลองนึกถึงตอนที่ Steve Jobs ก่อตั้ง APPLE ในปี 1976 หรือตอนที่ Jeff Bezos นำ AMAZON เข้าตลาด NASDAQ ในปี 1995 ในช่วงเวลาเหล่านั้น ผมเชื่อว่านักลงทุนคงมีคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของบริษัท เป็นการยากที่จะบอกได้ว่า ในตอนเริ่มแรกบริษัทไหนจะฉายแววอันโดดเด่นจนกลายมาเป็น Super Stocks สร้างความ มั่งคั่งมหาศาลให้ผู้ถือหุ้น Warren Buffett เองก็ซื้อหุ้น KO ในปี 1987 หรือหลังจากเป็นนักลงทุน เต็มตัวถึง 32 ปี ซึ่งราคาหุ้นก็ได้ขึ้นมาแล้วพอสมควร แต่เพียงแค่ 10 ปีต่อมา เขาก็ได้กำไรจากหุ้น KO ถึง 10 เท่าของเงินลงทุน แสดงให้เห็นว่า การซื้อหุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและมี ความยั่งยืนนั้น แม้จะซื้อช้าไปหลายสิบปีก็ยังไม่สาย ตราบใดที่เรายังเห็นโอกาสที่บริษัทยังสามารถ สร้างกำไรให้เติบโตได้ในอนาคต