โค้ด: เลือกทั้งหมด
ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงทิศทางการพัฒนาทางเทคโนโลยีของการขนส่งของโลกว่ากำลังเดินไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อน (EV) เพราะจะมีประสิทธิภาพมากกว่า (จากการอาศัยพลังงานจากแสงอาทิตย์และการพัฒนาแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน) และไม่สร้างมลภาวะ จึงจะต้องมาทดแทนรถยนต์เบนซินและดีเซลในที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญประเมินกันว่ารถไฟฟ้าจะเข้ามาทดแทนรถเบนซินและดีเซลอย่างมีนัยสำคัญภายใน 20 ปีข้างหน้า
วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีจะเดินไปในทิศทางของการพัฒนารถยนต์ที่ขับเองได้ (AV) ไม่ว่าจะเป็นการขับบนถนนสาธารณะหรือในเหมืองแร่ หรือแม้กระทั่งการเดินเรือสินค้าขนาดใหญ่ (autonomous cargo ships) นั้นคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นภายในประมาณปี 2035 ซึ่งผมมีประเด็นที่จะขยายความในสองเรื่องดังกล่าวอีกเล็กน้อยในบทความนี้
ประเด็นแรกคือเรื่องของมลภาวะซึ่งบางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ประเทศพัฒนาแล้วให้ความสำคัญสูง แต่ประเทศกำลังพัฒนายังไม่ตื่นตัวมากนัก เพราะยังให้ความสำคัญสูงสุดกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นจะยังขายรถยนต์เบนซินและดีเซลไปได้อีกนานหลายสิบปีในประเทศกำลังพัฒนา แม้จะมีข้อจำกัดมากขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว
ตรงนี้จะต้องกลับไปอ่านข่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ซึ่งธนาคารโลกนำเสนอรายงานเรื่องความสูญเสียที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศที่สรุปได้ดังนี้
1) มลภาวะทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (premature deaths) รวมทั้งสิ้น 5.5 ล้านคนในปี 2013 (ปีล่าสุดที่มีตัวเลข) โดยคำนวณว่าความสูญเสียในทางการเงินนั้นคิดเป็นมูลค่า 5.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (จีดีพีของโลกประมาณ 70 ล้านล้านเหรียญต่อปี)
2) มลภาวะทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสำคัญเป็นลำดับที่ 4 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั้งหมด
3) ความสูญเสียจากมลภาวะทางอากาศเกิดขึ้นมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะจากมลภาวะทางอากาศที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรม โดยใช้พลังงานที่สร้างมลภาวะเช่นถ่านหินและน้ำมัน กล่าวคือมูลค่าความสูญเสียของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนั้นประเมินได้เท่ากับ 2.9 ล้านล้านเหรียญต่อปี
ประเด็นคือประชาชนประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเองก็น่าจะมีกระแสความต้องการที่จะลดมลภาวะทางอากาศมากไม่น้อยกว่าประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะประเทศในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศที่มีความเจริญระดับกลางหรือสูงกว่านั้นและรายได้ต่อหัวก็ปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นลำดับจนถือได้ว่าเป็นชนชั้นกลางที่มีความตื่นตัวเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ในกรณีของกรุงเทพนั้นเรามีรถโดยสาร รถบรรทุกและแม้กระทั่งรถกระบะปล่อยควันดำออกมาให้เห็นทุกวัน ดังนั้นหากจะมีทางเลือกคือรถไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยมลภาวะมาให้เราต้องหายใจเข้าตอนที่เราเดินอยู่บนถนนหรือขี่จักรยาน ผมก็เชื่อว่าจะต้องมีการเรียกร้องให้นำมาใช้ในประเทศไทยโดยไม่ต้องรอช้า
ในอีกประเด็นหนึ่งคือการพัฒนาไปสู่รถหรือเรือที่ขับเองได้นั้นปัจจัยที่สำคัญนอกจากพัฒนาการทางเทคโนโลยีคือการพัฒนากฎหมาย (ซึ่งเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็กำลังเร่งรีบกำหนดบรรทัดฐานอยู่ในขณะนี้) และความต้องการรับ-ส่งข้อมูลอย่างมหาศาล (cloud) เพื่อรองรับเทคโนโลยีที่จะสั่งการให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนตามถนนและหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย ตรงนี้แปลว่าคลื่น (spectrum) ที่ภาคเอกชนจะต้องนำเอาไว้ใช้ในกิจกรรมดังกล่าว (และกิจกรรมอื่นๆ) จะต้องมีการจัดให้อย่างเพียงพอ แต่เมื่อกลับมาดูข้อมูลก็จะพบว่าการจัดสรรคลื่นในประเทศไทยนั้นมีจำนวนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างมาก จากข้อมูลบทวิเคราะห์ของแบงค์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรของภัทรนั้น การจัดสรรคลื่นในแต่ละประเทศนั้นมีประมาณดังต่อไปนี้
ประเทศ // (MHZ)
ฟิลิปปินส์ // 570
สิงคโปร์ // 480
ฮ่องกง // 436
มาเลเซีย // 325
อินโดนีเซีย // 300
นิวซีแลนด์ // 275
ไทย // 150
ในประเทศไทยนั้นมีการจัดสรร (ประมูล) คลื่นออกไปในเอกชนน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์หรือฮ่องกงที่มีคลื่นมากกว่าไทยประมาณ 3 เท่าตัว แต่มีประชากร 1/5 ของไทยเท่านั้น หากประเทศไทยจะเดินเข้าสู่ยุคดิจิตอลในอนาคตอันใกล้ เรื่องของการจัดสรรคลื่นให้เพียงพอจึงน่าจะเป็นประเด็นทางนโยบายที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือคลื่นเพื่อการสื่อสารเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจยุคดิจิตอล ซึ่งในประเทศอื่นๆ นั้นดูเสมือนว่ารัฐบาลเขาจะนำเอามาให้ใช้กันอย่างแพร่หลายในราคาที่ต่ำ แต่ประเทศไทยภูมิใจที่รัฐบาลสามารถหารายได้จากการประมูลเป็นเงินแสนล้านบาท
ครั้งต่อไปผมจะเขียนถึงทรัพยากรที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือประชากรครับ