ลงทุนหุ้นเวียดนาม/วีระพงษ์ ธัม

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ลงทุนหุ้นเวียดนาม/วีระพงษ์ ธัม

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ พ.ย. 14, 2016 3:30 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในเป้าหมายหลักของนักลงทุนที่จะลงทุนใน Frontier Market หรือตลาดชายขอบมาหลายปี เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงเพราะกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ และการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลาด Frontier ในนิยามของ MSCI คือตลาดเกิดใหม่ที่มี “ขนาดเล็ก” โดยตลาด Frontier มีอยู่ 22 ประเทศทั่วโลก สำหรับในเอเชีย มีอยู่ 4 ประเทศคือ บังคลาเทศ ปากีสถาน ศรีลังกา และเวียดนาม และเวียดนามคือดาวดวงแรกที่ส่องแสงใน 4 ประเทศนี้

    เวียดนามมีอยู่สองตลาดหุ้นหลัก ๆ คือ Ho Chi Minh Stock Exchange (HOSE) ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีบริษัทจดทะเบียนราว 300 กว่าบริษัท ก่อตั้งเมื่อปีคศ. 2000 มีอายุ 16 ปี ถือว่ายัง “อายุน้อยมาก” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ และอีกตลาดหนึ่งคือ Hanoi Stock Exchange (HSX) ที่ก่อตั้งภายหลัง คือปี 2005 มีจำนวนบริษัทจดทะเบียนมากกว่า HOSE เล็กน้อย แต่มีขนาดตลาด หรือ Market Capitalization น้อยกว่าเกือบ 10 เท่าตัว เรียกได้ว่าเป็นตลาดสำหรับหุ้นตัวเล็ก นอกจากนั้นยังมีตลาดที่ชื่อว่า UPCoM (Unlisted Public Company Limited) เป็นตลาดสำหรับหุ้นที่ยังไม่เข้าไปทำการซื้อขายในสองตลาดหลัก UPCoM เป็นตลาดที่มีกฎระเบียบน้อยกว่า เหมือนเป็นที่เตรียมตัวสำหรับการเข้าตลาดใหญ่

    ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มต้นจากการจำกัดสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่ 20% จนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 49% ในปี 2008 และเริ่มยกเลิกข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติของหุ้นบางตัวในช่วงปีที่ผ่านมา สำหรับประวัติศาตร์ตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ในช่วงแรกดัชนีตลาดหุ้นแทบไม่ไปไหน จนกระทั่งช่วงปี 2006-2008 ซึ่งเป็นช่วงที่เวียดนามกำลังเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WTO) ตลาดหุ้นก็ตอบรับข่าวและ หุ้นขึ้นจาก 200 กว่าจุด ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,171 จุด ในเดือนมีนาคม 2007 ตลาดหุ้นขึ้นเกือบ 400% ในปีกว่า ๆ หลังจากนั้นตลาดหุ้นก็ค่อย ๆ ปรับตัวลง และฟองสบู่ก็แตกในปลายปี 2007 ดัชนีลดลงจนถึงจุดต่ำสุดประมาณ 200 จุดในปี 2009 นี่คือฟองสบู่ครั้งแรกของตลาดหุ้นเวียดนาม

    ผมเดินทางไปฮานอย และได้สัมผัสกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมสมัยใหม่ ราวกับว่าเวียดนามได้ดำเนินรอยตามเศรษฐกิจที่มาก่อนหน้าอย่างประเทศไทย แรงงานมีจำนวนมาก หนุ่มสาว และค่าแรงราคาถูก ดึงดูดให้มีการลงทุนในระดับสูง โดยเฉพาะจากประเทศเกาหลี โรงงาน Samsung LG สร้างงานและสร้างการส่งออกเป็นสัดส่วนที่สูงในประเทศเวียดนาม คนชั้นกลางเริ่มค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น คนสร้างฐานะ แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานยังล้าหลังมาก และรัฐบาลก็ค่อนข้างมีภาระสูง แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังเป็นไปอย่างคึกคัก

    บริษัทจดทะเบียนในเวียดนามก็เริ่มฟื้นตัวจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงก่อนหน้า ซึ่งเวียดนามมีปัญหาขาดดุลบัญชีมายาวนาน ค่าเงินไม่มีเสถียรภาพ เงินเฟ้อสูง แต่ผลจากการส่งออกดูเหมือนค่าเงิน และเงินเฟ้อเริ่มนิ่งมากขึ้น อย่างไรก็ดี เท่าที่ผมเห็นคือ บริษัทจดทะเบียนมีหนี้อยู่ในระดับสูง D/E Ratio หลายบริษัทสูงกว่าไทยมาก การเติบโตที่เราเห็นคือการ “เหยียบคันเร่ง” และบริษัทส่วนมากโดยเฉพาะที่มีขนาดใหญ่มักจะทำ “หลายธุรกิจ” แทนที่จะมุ่งทำเฉพาะธุรกิจที่ตัวเองถนัด

    ธุรกิจในเวียดนามเกือบทั้งหมดเดิมทีเป็นของภาครัฐ และค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นของเอกชน และหลายแห่งก็เข้าตลาดหุ้น ภาพคล้าย ๆ กับประเทศจีนในช่วงปี 1990 – 2000 หลายบริษัทเมื่อเป็นของเอกชนแล้ว ก็ยังมีอำนาจผูกขาดหรืออำนาจเหนือตลาดหลงเหลืออยู่ หลายอุตสาหกรรมก็ถูกคุ้มครองจากทั้งการแข่งขันในประเทศ หรือมีกำแพงภาษีสำหรับการแข่งขันจากต่างประเทศ ดังนั้นเราอาจจะเห็นหุ้นหลายตัวมี Return on Equity (ROE) หรือ อัตรากำไรสูงผิดปกติ อย่างไรก็ดีนี่ไม่ได้เป็นความสามารถทางการแข่งขันที่แท้จริง มีโอกาสที่สิ่งเหล่านี้จะหายไปในอนาคต รวมไปถึงความไม่แน่นอนของธรรมาภิบาลต่อนักลงทุนรายย่อย ตลาดหุ้นจึงถูกซื้อขายในราคาที่ไม่แพงนัก เนื่องจากนักลงทุนควรจะได้ส่วนชดเชยจากความเสี่ยงที่ยังสูง

    ผมใช้เวลาที่เหลือเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเวียดนามคือ ฮาลองเบย์ เส้นทางเดินทางจากฮานอยราว ๆ 100 กว่ากิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลา 3 ชม.ครึ่ง ทางหลวงหลายแห่งกำลังจะเชื่อมออกไป เนื่องจากเป็นเส้นทางเดียวกับไปท่าเรือ Hai Phong ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเพื่อการส่งออกสำคัญของเวียดนาม แต่ดูเหมือนกับว่าถนนยังไม่เพียงพอ และค่าทางด่วนมีราคาแพงเกินไป เมื่อไปถึงฮาลองเบย์ ผมพบว่าที่ดินริมทะเลยาวหลายกิโลเมตร ซึ่งเดิมเป็นโรงแรมและร้านค้าเกือบทั้งหมดถูกรื้อถอน เพื่อสร้างโครงการขนาดยักษ์ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ผมมีโอกาสรู้จักไกด์เวียดนามชื่อวู วูเล่าให้ฟังว่าการท่องเที่ยวเวียดนามเล็กมากแต่ก็ขยายตัว ที่น่าประทับใจคือ วู แม้จะมีรายได้เพียง 5,000 บาทต่อเดือน เขาโชว์รูปภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดเรื่อง คิงคองภาคใหม่ซึ่งเพิ่งถ่ายทำเสร็จที่ฮาลองเบย์ในเดือนที่ผ่านมาอย่างภาคภูมิใจ เขาติดตามตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยทุกไตรมาส รวมไปถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวเวียดนามซึ่งมีอยู่ราว 1 ใน 4 ของไทย ตาของวูมีประกายและพยายามต้อนรับครอบครัวผมอย่างดีทุกฝีก้าว เพราะเขาหวังว่านักท่องเที่ยวเวียดนามจะมากขึ้น ประเทศแข็งแรงขึ้น และเขาจะมีชีวิตที่ดี นี่คือจิตวิญญาณของหนุ่มสาวเวียดนาม
[/size]



ตอบกลับโพส