โค้ด: เลือกทั้งหมด
ธุรกิจท่องเที่ยวถือเป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าเป็น “กระแสหลักระดับโลก” หรือ Global Mega Trend อย่างยาวนาน แรกเริ่มการเดินทางของมนุษย์เกิดจากกลไกทางธรรมชาติและปัจจัยสภาพแวดล้อม ที่ทำให้มนุษย์ เดินทางย้ายถิ่นฐานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แสนกว่าปีที่แล้ว การท่องเที่ยวอาจจะเป็นเหตุผลที่เกิดมาทีหลัง ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณประมาณสองพันปี การท่องเที่ยวเดิมทีมักจะอยู่กับคนกลุ่มเล็ก ๆ เป็นการเดินทางเพื่อแสวงหาวัฒนธรรมหรือสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ของชนชั้นสูง หรือเป็นกิจกรรมเฉพาะทางเช่น การเดินทางแสวงบุญของยุคกลาง พอมาถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ผลผลิตมนุษย์มากขึ้นจากการใช้เครื่องจักร มนุษย์ก็มีเวลาเหลือพอให้คนชั้นกลางสามารถแบ่งเวลาไปพักผ่อนได้ ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวนานาชาติมีมากกว่า 1 พันล้านคน และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี
ความหมายของการท่องเที่ยวจากองค์กรการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) หมายถึงการเดินทางและอยู่นอกสถานที่ที่เราเคยอยู่ประจำไม่เกินระยะเวลาหนึ่งปีสำหรับวัตถุประสงค์ใด ๆ ก็ตาม ซึ่งจะเป็นท่องเที่ยวภายในประเทศตัวเอง หรือเดินทางไปต่างประเทศก็ได้ ประเทศที่เป็นจุดมุ่งหมายหลักของนักเดินทางคือฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา สเปน จีน อิตาลี ตามลำดับ ส่วนประเทศไทยนั้นติดอันดับสองของเอเชียรองจากจีน และก้าวขึ้นมาสามอันดับจนติดอันดับหกของโลก ธุรกิจท่องเที่ยวไทยกลายเป็นหัวจักรสำคัญทางเศรษฐกิจไทยขึ้นเรื่อย ๆ
ขนาดทางเศรษฐกิจของการท่องเที่ยวโลกนั้นคือราว 10% ของ GDP (สำหรับไทยนั้นสูงกว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยนี้มาก) และสร้างงาน 10% ของงานทั้งหมดในโลก ถ้าดูตัวเลขการเติบโตตั้งแต่ที่เราเริ่มมีการเก็บสถิติโดย UNWTO จำนวนนักท่องเที่ยวนานาชาติเพิ่มขึ้นจาก 25 ล้านคนในปี 1950 เป็น 674 ล้านคนในปี 2000 และคาดว่าจะมีจำนวนเกือบ 2,000 ล้านคนในปี 2030 การเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าการเติบโตของ GDP โลก ในขณะเดียวกันขนาดของนักท่องเที่ยว “ในประเทศ” นั้นใหญ่กว่ามาก คือราว 5,000 ล้านคน และสำหรับบางประเทศอย่างประเทศญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวในประเทศมีบทบาทมากกว่าต่างประเทศเป็นสิบเท่าตัว สรุปได้ว่าเฉลี่ยแล้ว คนทุกคนในโลกเดินทางอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
เราอาจจะคิดว่ายุโรปคือจุดหมายปลายทางสำคัญ แต่ยุโรปกำลังเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับโลกโดยเฉพาะเอเชีย ปัจจุบันยุโรปมีส่วนแบ่งในแง่จำนวนนักท่องเที่ยว 51% และมีส่วนแบ่งในแง่เม็ดเงิน 36% ส่วนดาวรุ่งอย่างเอเชียนั้นมีส่วนแบ่งในจำนวนนักท่องเที่ยว 24% แต่มีส่วนแบ่งในแง่เม็ดเงินถึง 33% ใครคิดว่า “การใช้จ่ายต่อหัว” ของประเทศยุโรปสูงกว่าเราคงต้องคิดใหม่ และยิ่งถ้าเทียบกับขนาดเศรษฐกิจประเทศเอเชียได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวมากกว่าประเทศตะวันตกมาก
นักเดินทางที่ใช้จ่ายมากที่สุดในโลกคงไม่มีใครอื่นนอกจากนักเดินทางจากประเทศจีน ซึ่งใช้จ่ายมากกว่าอันดับสองคือสหรัฐอเมริกาถึงสามเท่าตัว คิดเป็นส่วนแบ่งถึง 23.2% ของโลก นอกจากนั้นก็มีนักเดินทางจากเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ที่ถือว่าเป็น Top Spending บนโลกใบนี้ แต่นี่คือการพูดถึงตัวเลขการใช้จ่าย โดยเฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยวจีนจ่ายน้อยกว่านักท่องเที่ยวเยอรมันหรืออังกฤษเกือบห้าเท่า ดังนั้นถ้าพูดถึง “จำนวน” แล้ว นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางไปต่างประเทศมีจำนวนถึง 128 ล้านคน เรียกได้ว่า มากกว่าประชากรไทยเกือบสองเท่าตัว และยังเติบโตแบบก้าวกระโดด
อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวนั้นกว้างมาก และถ้าสังเกตจะพบว่ามีการ “ปฏิวัติ” หรือ Disruption ธุรกิจท่องเที่ยวเดิมในทุกส่วน แปลว่านี่คือธุรกิจที่แข่งขันกันดุเดือด เช่น ธุรกิจจองท่องเที่ยวออนไลน์อย่าง Priceline ที่มาแทนเอเยนต์ทัวร์ ธุรกิจอย่าง Airbnb มาแทนโรงแรมแบบเดิม ยังไม่นับโรงแรมรูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นราวดอกเห็ด ธุรกิจการใช้จ่ายเงินของนักท่องเที่ยวผ่าน e-wallet หรือบัตรต่าง ๆ ธุรกิจการเดินทางผ่าน Uber และ Trip Advisor ก็ Disrupt มัคคุเทศน์แบบดั้งเดิม ธุรกิจสายการบินก็เกิด Low Cost Airline ทุกสิ่งเพื่อมาตอบสนอง “ชนชั้นกลาง” ซึ่งเป็นฐานลูกค้าใหม่ของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันและอนาคต และที่น่าสนใจคือ ใครจะคิดว่าธุรกิจที่ไม่น่าเกี่ยวข้องอย่างขนมขบเคี้ยว เครื่องสำอาง อาหารเสริม ฯลฯ จะได้ประโยชน์มหาศาลจากธุรกิจท่องเที่ยว และตลาดท่องเที่ยวทางอ้อมที่น่าสนใจเช่นธุรกิจการศึกษา หรือการแพทย์
เพราะความสำคัญทางเศรษฐกิจจากธุรกิจท่องเที่ยวนี่เอง ล่าสุดรัฐบาลก็ประกาศให้เราสามารถลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม 15,000 บาทได้สำหรับเที่ยวในประเทศในเดือนธันวาคม ในตารางของคุณ คุณวางแผนพักผ่อนไปเที่ยวไทย ช่วยเศรษฐกิจไทยกับคนที่คุณรักแล้วหรือยังครับ