สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2559 / คนขายของ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
คนขายของ
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 698
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 9:48 am

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2559 / คนขายของ

โพสต์ โดย คนขายของ » ศุกร์ ม.ค. 06, 2017 9:29 pm

สิ่งที่ได้เรียนรู้ในปี 2559 / โดย คนขายของ

ตลาดหุ้นไทยปิดปี 2558 แบบไม่สดใสเท่าใดนักที่ 1,288 จุด พอย่างเข้าสู่เดือนมกราคม 2559 การตกลงของดัชนีหุ้นไทยดูเหมือนจะยังไม่หยุด เพราะได้รับผลกระทบจากตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงและราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ผมจำได้ว่ามีการคาดเดากันในหมู่นักลงทุนในตอนนั้นว่าจุดต่ำสุดของขาลงรอบนี้น่าจะอยู่ที่ราว 800 จุด แต่กลับกลายเป็นว่า ตลาดหุ้นไทยทำจุดต่ำสุดของปี 2559 ที่ 1,224 จุดในวันที่ 7 มกราคม ท่ามกลางข่าวร้ายทางเศรษฐกิจต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การลดลงของการส่งออก การปรับลดเป้าจีดีพีประเทศไทย และ ตัวเลข NPL ของธนาคารที่สูงขึ้น แต่ดัชนีหุ้นไทยกลับเป็นขาขึ้นตลอด ตั้งแต่เดือนมกราคม จนทำจุดสูงสุดของปีในเดือนสิงหาคมที่ 1,552 จุด หลังจากนั้นก็แกว่งตัวอย่างหนัก ในขณะที่ผมเขียนบทความนี้ (17 ธันวาคม) ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นมาจากต้นปี 18.2% ติดหนึ่งในสิบตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลก และเป็นอันดับสองในเอเซีย ขอถือโอกาสช่วงเทศกาลปีใหม่ ทบทวนสิ่งต่างที่ เกิดขึ้นในปี 2559 ว่ามีเรื่องใดที่น่าสนใจบ้าง

หนึ่ง ปัจจัยภายนอกกับตลาดหุ้นไทย พบว่าในปี 2559 มีเรื่องเด่นๆอยู่หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชะลอ ตัว ของเศรษฐกิจจีน การออกจาก EU ของอังกฤษ เรื่องความมั่นคงของ Deutsche Bank และ ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มีอยู่หลายครั้งที่ปัจจัยดังกล่าวทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง แต่ก็เป็นผล กระทบแค่ระยะสั้น แต่ช่วงที่ข่าวเหล่านี้เป็นประเด็นจะมีการให้น้ำหนักต่อเรื่องดังกล่าว เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจากสื่อหรือจากบทวิเคราะห์ ซึ่งอาจจะทำให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับปัจจัยดังกล่าว มากกว่าการมองพื้นฐานที่แท้จริงของธุรกิจ อย่างเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐก็เป็น อีกเรื่องหนึ่งที่หวาดกลัวกันมาอย่างยาวนานว่าจะทำให้หุ้นลงหนัก แต่กลับดูเหมือนว่า ตลาดหุ้นก็ยังคง เดินหน้าต่อไปได้อีก ที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่ว่าเราไม่ควรสนใจเรื่องเหล่านี้เลย แต่ว่าเราควรเข้าใจรายละเอียด ของเรื่องเหล่านั้นพอสมควร ไม่ใช่อ่านข่าวแค่พาดหัวแล้วก็เลยกลัวไม่กล้าลงทุน

สอง หนึ่งในหุ้นขนาดใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนสุดประทับใจในปี 2559 น่าจะเป็นหุ้น PTTEP ซึ่งปรับตัวขึ้นมา เกือบ 60% จากต้นปี และ 100% จากจุดต่ำสุดในช่วงกลางเดือนมกราคม ชนะผลตอบแทนโดยรวมของหุ้นไทยแบบขาดลอย เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำที่สุดในรอบปีที่ 27 เหรียญในเดือนกุมภาพันธ์ และกลับกลายมาเป็นขาขึ้นจนทะลุ 50 เหรียญในปัจจุบัน ทำให้ราคาหุ้นของ PTTEP กลับฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว เป็นการตอกย้ำว่า หุ้นที่มีลักษณะเป็นวัฏจักร ถ้าใครจับจังหวะได้ถูกก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว

สาม ในปี 2559 ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่ตอกย้ำความจริงที่ว่า ตลาดหุ้นกับตัวเลขการเติบโต GDP ประเทศนั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ตัวเลข GDP ไทยนั้นน่าจะโตแค่ราว 3.25% ในปี 59 แต่ตลาดหุ้นไทยนั้นเติบโต ดีมาก ตลาดหุ้นรัสเซีย ซึ่ง GDP ประเทศน่าจะโตติดลบ แต่กลับให้ผลตอบแทนสูงถึง 50% ในขณะที่ ประเทศจีน และ ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีการเติบโตระดับ 6% ขึ้นไป ตลาดหุ้นกลับให้ผลตอบแทนติดลบ 11.8% และติดลบ 1.5% ตามลำดับ

สี่ จริงๆเรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นจริงและเกิดขึ้นในทุกๆปี ไม่ว่าจะปีไหนก็ตาม นั่นคือ บริษัทที่มีการบริหาร จัดการที่ดี ผู้บริหารเก่งกาจ ทีมงานเข้มแข็ง บริษัทมีหนี้สินน้อย และอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต ราคาหุ้นจะเติบโตได้ดีกว่าผลตอบแทนโดยรวมของตลาด แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นมาโดยเฉลี่ยราว 18% ในปีนี้ แต่มีหุ้นหลายตัว ทั้งหุ้นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่ให้ผลตอบแทนในระดับสูงกว่า 30%

ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปีในเดือนพฤษภาคม 2556 ที่ราว 1,628 จุด ผ่านมา ถึงตอนนี้เป็นเวลาสามปีกว่า ก็ยังไม่สามารถทะลุจุดเดิมไปได้ ถ้านับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2556 มา ดัชนีหุ้นไทยยังคงติดลบอยู่ราว 6% แต่กระนั้นก็ตามยังมีหลายบริษัทที่สามารถทำกำไรในระดับ All Time High ได้ เป็นผลให้ราคาหุ้นสอดรับไปในทิศทางเดียวกัน ในปี 2559 เป็นอีกปีหนึ่งที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูงมาก การลดลงของดัชนีในระดับเกือบ 100 จุดในหนึ่งวันก็มีให้เห็น ปัจจัยจากต่างประเทศก็ดูเหมือนว่าจะคอยบั่นทอนกำลังใจในการลงทุนอยู่ร่ำไป แต่หากเราเข้าใจพื้นฐานของการลงทุนที่ว่า การลงทุนในธุรกิจนั้น ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด มากกว่าอัตราเงินกู้ของแบงค์ เพราะถ้าต่ำกว่า คงไม่มีใครกู้เงินแบงค์มาทำธุรกิจ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเทียบกับอัตราเงินฝากของแบงค์ ยิ่งสูงกว่าหลายๆเท่า หน้าที่ของนักลงทุนคือ เลือกกิจการที่ดีมีความแข็งแกร่ง และ ซื้อลงทุนในราคาที่สมเหตุผล ไม่ว่าปีนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น หรือว่าปีหน้า
จะเป็นอย่างไร ตราบใดที่โลกนี้ยังคงชมชอบระบอบทุนนิยม หลักการนี้ก็ยังคงใช้ได้ต่อไป

อดทนไว้ กำไรยั่งยืน


ตอบกลับโพส