โค้ด: เลือกทั้งหมด
ดิฉันได้ยินนักวิทยาศาสตร์ชีวภาพประกาศมาเกือบยี่สิบปีแล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้เราสามารถต่อยอดได้อีกมากมาย อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา นับตั้งแต่การแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามามีบทบาทในเมืองไทย การแพทย์แผนโบราณและสมุนไพรพื้นบ้านก็ลดบทบาทลงไปเรื่อยๆ จนเกือบจะสูญหายไป
น่าดีใจที่มีผู้สนใจค้นคว้าและนำสมุนไพรไทยมาใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นในช่วงหลัง โดยในวันนี้ขอยกตัวอย่างหนึ่งของการนำสมุนไพรไทยมาใช้และเผยแพร่จนมีผู้รู้จักกว้างขวาง
เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนเภสัชกรหญิงสุภาภรณ์ ปิติพร ไปรับราชการที่โรงพยายาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี และได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพรกับหมอยาพื้นบ้าน พบว่าในป่าไม้ของไทยนั้นมีพืชสมุนไพรมากมายที่สามารถใช้เป็นยา เป็นอาหาร และเป็นเครื่องสำอางได้ และมีการวิจัยและพัฒนาเป็นยา อาหารและเครื่องสำอางออกสู่ตลาด รวมถึงเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรให้กับประชาชนในวงกว้าง
ดิฉันได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ภญ. ดร. สุภาภรณ์ ได้ทราบว่าในบรรดาพืชสมุนไพรกว่า 5,000 ชนิดในโลกนี้ มีอยู่ในประเทศไทยประมาณ 2,000 กว่าชนิด ในปัจจุบัน มีคณะแพทย์แผนไทยสอนอยู่ในมหาวิทยาลัย 18 แห่ง โดยเน้นแนวอายุรเวท ใช้พืชประมาณ 800 ชนิด และมีการตั้งโรงพยาบาลรักษาโรคด้วยสมุนไพรด้วย
แพทย์แผนปัจจุบันมีลักษณะเด่นในการรักษาโรคเฉียบพลัน ด้วยยาและการผ่าตัด แต่ไม่มียาบำรุง ในขณะที่การรักษาด้วยสมุนไพร ซึ่งเรียกว่าเป็นการแพทย์ทางเลือก จะมียาบำรุง ทั้งบำรุงธาตุ (เช่น ขิง ข่า เป็นยาช่วยย่อย) บำรุงกำลัง และช่วยการฟื้นตัวของร่างกาย เช่น ผู้สูงวัย เด็ก และสตรีหลังคลอด และยังมีสมุนไพรที่เป็นยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ผักบุ้ง ช่วยแก้อาการผิวแห้ง ช่วยลดน้ำตาลและความดัน และช่วยบำรุงประสาทให้สงบเย็น แก้อาการนอนไม่หลับ ปวดหัว เป็นต้น แต่เป็นยาเย็น หากรับประทานติดต่อกันนานเกินไปร่างกายอาจได้รับความเย็นจากผักบุ้งมากไป
ดร.สุภาภรณ์ มองว่าอาหาร ยาและเครื่องสำอางจากสมุนไพร จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศในทุกขั้นตอนของการผลิต ตั้งแต่ผู้ปลูก ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ผู้แปรรูป ผู้ขาย และยังช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบสุขภาพ ให้นักท่องเที่ยวเข้ามารับประทานอาหารที่ปรุงแบบสุขภาพ โดยใช้สมุนไพร ใช้บริการสปา ที่ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย หรือบำรุงร่างกายด้วยสมุนไพรไทย เป็นต้น ถือเป็นการสร้างจึดดึงดูดทางการท่องเที่ยว และสร้างอาชีพให้กับประชาชน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้รุ่งเรือง
ปัจจุบันพืชสมุนไพรบางอย่างในไทยเริ่มขาดแคลน ดร.สุภาภรณ์ จึงอยากรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันปลูกต้นไม้สมุนไพรในตำรากันมากๆ เช่น ฟ้าทะลายโจร ชะเอม ฯลฯ และอยากสร้างจิตสำนึกให้ใช้ผลิตภัณฑ์ไทย อยากให้ผู้มีความรู้เรื่องสมุนไพรรวมตัวกันเป็นเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
ดร. สุภาภรณ์ งานยุ่งทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่ท่านเป็นห่วงว่าหมอยาต่างๆอายุมากขึ้น ท่านจึงต้องรีบเก็บองค์ความรู้จากหมอยาต่างๆ ในทุกภูมิภาคของประเทศ ก่อนที่จะสูญหายไปพร้อมกับหมอยา
ช่วยกันสนับสนุน ดร. สุภาภรณ์ ด้วยการอุดหนุนผลิตภัณฑ์ ของมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ค่ะ โดยกำไร 70% มอบให้โรงพยาบาลเป็นค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ส่วนอีก 30% มูลนิธินำไปใช้ในการพัฒนาสมุนไพรและดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม
สำหรับท่านที่สนใจศึกษาเรื่องการให้และการลงทุนเพื่อสังคมรวมถึงกิจการเพื่อสังคม ในช่วงวันที่ 8-9 มิถุนายน 2560 นี้ จะมีงานสัมมนาของ Asian Philanthropy Network (AVPN) ซึ่งจะมีวิทยากรหลากหลายจากทั่วโลกมาคุยให้ฟังถึงความคืบหน้า และแบ่งปันประสบการณ์ด้านต่างๆ เช่น ตัวอย่างของการลงทุนทางสังคม การศึกษา ความท้าทายของการให้และบริจาค รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม อาหารและโภชนาการ เด็ก สตรี และสังคมผู้สูงวัย สนใจดูรายละเอียดที่ www.2017.avpn.asia และหากท่านจะสำรองที่นั่งโดยมีส่วนลดกรุณาติดต่อดิฉันค่ะ