โค้ด: เลือกทั้งหมด
แผนที่หรือเส้นทางสู่ความมั่งคั่งของแต่ละคนมักจะแตกต่างกันแต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในไม่กี่แบบที่พอจะบอกได้ สภาวะทางเศรษฐกิจสังคมก็มีส่วนสำคัญต่อรูปแบบของความมั่งคั่ง ตัวอย่างเช่นในสังคมที่ยังไม่พัฒนาเท่าไรและประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน เส้นทางสู่ความมั่งคั่งของคนในสังคมหรือประเทศนั้นก็คือการพยายามก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางการเมืองการปกครองซึ่งจะทำให้สามารถกอบโกยความมั่งคั่งโดยอาศัยตำแหน่งหรืออำนาจที่มีอยู่ เมื่อสังคมพัฒนาขึ้นหรือประเทศเจริญถึงระดับหนึ่ง การเป็นผู้ประกอบการก็มักจะเป็นหนทางแห่งความมั่งคั่งใหม่ที่คนจะเลือกได้เท่า ๆ กับหรือมากกว่าการเป็นผู้มีอำนาจทางการเมือง ในสังคมหรือประเทศที่เจริญขึ้นมากแล้วนั้น คนที่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มาก ๆ ไม่ว่าจะมาจากการที่ตนเองนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือคนที่นำเงินมาลงทุนหุ้นในตลาดก็มักจะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้มาก นอกจากนั้น สังคมที่พัฒนาแล้วก็มักจะมีหนทางสร้างความมั่งคั่งมากขึ้นมากซึ่งรวมถึงการเป็นผู้บริหารของกิจการหรือบริษัทขนาดใหญ่ เป็นต้น
หนทางหรือเส้นทางความมั่งคั่งของบิลเกตมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกก็คือ การเป็นผู้ประกอบการขายโปรแกรมควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ค่อนโลกผ่านบริษัทไมโครซอพท์ในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นแล้วเขาก็นำเงินที่ได้จากการเป็นเจ้าของหุ้นไมโครซอพท์ไปลงทุนหุ้นอื่น ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งทำให้เขายังเป็นคนที่มั่งคั่งที่สุดในโลกต่อไปอย่างยาวนาน ในส่วนของวอเร็น บัฟเฟตต์เองนั้น เส้นทางสู่ความมั่งคั่งของเขานั้นดูเหมือนว่าจะเดินสายตรงสายเดียวนั่นก็คือ ลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และบริษัทเอกชนต่อเนื่องยาวนานโดยแทบจะไม่ทำอย่างอื่นเลย ซึ่งนี่ก็ทำให้เขารวยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกมายาวนาน อย่างไรก็ตาม ถ้ามองในภาพใหญ่แล้ว โรดแมพหรือเส้นทางสู่ความมั่งคั่งแบบวอเร็น บัฟเฟตต์นั้นน่าจะมีคนใช้น้อยหรือใช้ได้ยากเมื่อเทียบกับแบบของบิลเกต
ในสังคมของไทยที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระดับกลางค่อนข้างสูงนั้น คน “ชั้นกลางค่อนข้างสูง” ซึ่งหมายถึงคนชั้นกลางที่มีการศึกษาดีและมีพ่อแม่ที่มีฐานะ “ชั้นกลางค่อนข้างดี” ที่ไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากลูกแม้ว่าตัวเองจะเกษียณนั้น ควรมีโรดแมพหรือเส้นทางความมั่งคั่งอย่างไรที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในชีวิต?
เส้นทางที่จะทำให้มั่งคั่งได้รวดเร็วที่สุดนั้น ผมคิดว่าคือการ “มุ่งหน้าทำธุรกิจ” และเป้าหมายสุดท้ายก็คือการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น หรือถ้าเป็นธุรกิจแนวสตาร์ทอัพที่เน้น
เทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ ๆ ก็อาจจะเป็นการขายบริษัทให้คนอื่น แนวทางนี้จะต้องอาศัยความสามารถและความพยายามอย่างสูงของคนที่ทำ เขาอาจจะต้องเรียนรู้และทำงานเป็นลูกจ้างระยะหนึ่งเพื่อหาประสบการณ์ แต่จิตใจเขาจะต้องมุ่งมั่นและมีเป้าหมายแรงกล้าว่าเขาจะต้องมุ่งสู่การเป็นผู้ประกอบการ ไม่ต้องการเป็นลูกจ้าง “ไปจนตาย” หรือนานเกินไป
เส้นทางที่สองก็คือ การเป็นลูกจ้างบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถทำงานได้เงินเดือนค่อนข้างดีแล้วสามารถเก็บเงินได้มาก จากนั้นก็นำเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นแบบ VI โดยเน้นที่การศึกษาวิธีและหลักการลงทุนอย่างเข้มข้น การลงทุนในช่วงแรกนั้นเน้นลงทุนแบบ Focus ลงทุนในหุ้นน้อยตัว บางคนอาจจะพิจารณาใช้มาร์จินบ้างในบางโอกาส ซึ่งทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะในช่วงที่เม็ดเงินลงทุนยังน้อย ถ้าประสบความสำเร็จจนถึงจุดหนึ่งที่มีพอร์ตใหญ่พอที่จะสามารถเลิกทำงานประจำได้ ก็อาจจะเลิกทำงานประจำและหันมาลงทุนอย่างเดียว โดยที่โรดแมพต่อจากนั้นก็อาจจะเป็นการลงทุนที่จะเสี่ยงน้อยลง โดยอาจจะกระจายการถือหุ้นมากตัวขึ้น เลิกใช้มาร์จิน และแม้แต่กระจายการลงทุนไปในทรัพย์สินอื่นเช่น ที่ดินหรือพันธบัตรเพื่อที่จะพยายามรักษาความมั่งคั่งให้ยั่งยืนมากขึ้น หัวใจของโรดแมพนี้ก็คือ เจ้าตัวนั้นต้องคิดตั้งแต่แรกว่าตัวเองจะ “รวยจากการลงทุน” การทำงานประจำเป็นเพียง “ทางผ่าน” สู่ความมั่งคั่ง
เส้นทางที่สามนั้นอาจจะเรียกว่าเป็นลูกผสมระหว่างผู้ประกอบการกับนักลงทุน นี่ก็คือคนที่ทำธุรกิจประสบความสำเร็จค่อนข้างดีหรือดีมากและยาวพอจนมีความมั่งคั่งสูงระดับหนึ่งและอาจจะมีเงินสด “เหลือเฟือ” จากนั้นเมื่อธุรกิจเริ่มถึงจุดอิ่มตัวก็ผันตัวเองมาเป็นนักลงทุนเป็นหลัก โรดแมพของคนกลุ่มนี้มักจะมีความมั่งคั่งสูงมากเพราะมีความมั่งคั่งสูงมากอยู่แล้วตั้งแต่การทำธุรกิจ เมื่อต่อยอดมาเป็นนักลงทุนก็ยิ่งทำให้ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณและมีความยั่งยืนขึ้นเนื่องจากสามารถกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นในหลาย ๆ ธุรกิจที่อาจจะดูแล้วว่ายังเติบโตหรือยังไม่อิ่มตัว นี่ก็คือโมเดลแบบบิลเกต
เส้นทางที่สี่คือการเป็นนักลงทุนตั้งแต่ต้นแนว วอเร็น บัฟเฟตต์ นี่ก็คือการเริ่มต้นอย่างเร็วมากตั้งแต่เรียนจบหรือทำงานมาไม่กี่ปีและอายุยังน้อย ด้วยความสามารถในการลงทุนที่ยอดเยี่ยมและอาจจะมีเงินเริ่มต้นจากพ่อแม่ในระดับหนึ่ง เขาอาจจะเน้นการลงทุนที่ “เสี่ยงมาก” เล่นหุ้นน้อยตัวและใช้มาร์จินเต็มที่ ซื้อและขายหุ้นอย่างรวดเร็วเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็วตลอดเวลา โดยที่หุ้นนั้นอาจจะเป็นหุ้นที่มีความผันผวนสูงเป็นแนวหุ้นวัฏจักร์หรือหุ้น Turnaround ที่สามารถปรับตัวขึ้นได้หลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน เป็นต้น นอกจากนั้น พวกเขาอาจจะใช้กลยุทธ์ในการโปรโมทหุ้นเต็มที่จนบางครั้งแทบจะหมิ่นเหม่กลายเป็นการ “ปั่นหุ้น” ด้วย เส้นทางความมั่งคั่งแบบนี้อาจจะเรียกว่าเป็นเส้นทางของนักเก็งกำไรในหุ้นที่ไม่ใช่แบบ “แมงเม่า” แต่เป็นแนว “เซียนหุ้น” ที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อพอร์ตใหญ่มาถึงระดับหนึ่ง ถ้าจะรักษาและสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นต่อไป เขาก็มักจะต้องเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือลดระดับการเก็งกำไรหรือการ “ปั่นหุ้น” ลง
โรดแมพที่ห้าคือการเป็นผู้บริหารในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินเดือนและรายได้สูงมาก นี่เป็นเส้นทางเฉพาะสำหรับคนที่มีคุณสมบัติที่หาได้ยากในคนทั่วไปนั่นคือ เป็นคนที่มักจะมี IQ และ EQ ค่อนข้างสูง นอกจากนั้นอาจจะต้องมีหน้าตาและรูปร่างที่ดีหรือสูงใหญ่ที่จะทำให้สามารถได้รับการส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานเร็วมาก ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือรายได้จากการทำงานที่สูงมากจนมั่งคั่งได้ กรณีที่คล้าย ๆ กันก็คือคนที่ทำงานแบบ “อิสระ” โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัว เช่นดารานักร้องศิลปินบางประเภท นักกีฬา นักกฎหมาย แพทย์ หรือแม้แต่หมอดูชื่อดังที่เป็นเส้นทางสู่ความมั่งคั่งของคนจำนวนไม่น้อยแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้
ผมเองไม่พูดถึงคนทำงานที่กินเงินเดือนแล้วก็ลงทุนเงินออมบางส่วนในกองทุนรวมหรือซื้อหุ้นบลูชิพแบบสะสมหุ้นที่เรียกว่า Dollar Cost Average เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแนวทางที่ดีมากสำหรับคนทั่วไปแต่มันก็คงไม่ทำให้คนทำมั่งคั่งได้ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตการเงินของพวกเขาดีโดยเฉพาะในวันที่เกษียณจากการทำงาน
ผมไม่ได้พูดถึงคนที่รวยมากอยู่แล้วหรือมีครอบครัวที่มั่งคั่งอยู่แล้ว ผมคิดว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการโรดแมพสู่ความมั่งคั่ง แต่เขาต้องการวิธีที่จะรักษาความมั่งคั่งต่อไปอีกนานมากกว่า เช่นเดียวกัน ผมไม่ได้พูดถึง “คนจน” ที่ต้องการโรดแมพสู่ความมั่งคั่ง เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ “ยากมาก” และอาจจะต้องอาศัย “ดวง” ด้วย และอาจจะต้องเป็นโรดแมพเฉพาะตัวของแต่ละคน แม้ว่าหนึ่งในนั้นก็คือตัวผมเอง