โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในช่วงประมาณ 10-15 ปีที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นนักลงทุนและ/หรือนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จสูงมากจำนวนไม่น้อยกลายเป็น “ดาว” ในตลาดหุ้นไทย สถิติผลงานการลงทุนของพวกเขานั้นสูงลิ่วจนไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับผลงานการลงทุนของ “เซียน” ในระดับโลก และแม้ว่าสถิตินี้ยังไม่ได้ยาวพอที่จะนำมาคิดเป็นจริงเป็นจังแต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นผลงานที่เกิดขึ้นได้ยากในที่อื่นหรือส่วนอื่นของโลกอยู่ดี ผมคงไม่ต้องพูดซ้ำอีกว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับ “ดาว” จำนวนมากที่จะทำผลงานได้เท่าเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิม เหตุผลก็เพราะว่าสภาพของตลาดหุ้นไทยในช่วงประมาณ 10 กว่าปีมานี้เป็นสถานการณ์พิเศษที่เอื้ออำนวยให้กับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” หรือนักเก็งกำไรที่ “เกาะกระแส VI” สามารถทำเงินได้อย่างง่ายและเร็วด้วยวิธีการที่ไม่ยาก แต่สถานการณ์แบบนั้นผมคิดว่ามันกำลังหมดไป การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในอนาคตน่าจะกำลังกลับเข้าสู่ “ภาวะปกติ” ที่จะมีแต่คนที่แน่จริง ๆ และมีหลักการที่ถูกต้องในระยะยาวจริง ๆ เท่านั้นที่จะเป็น “ดารา” ซึ่งก็แน่นอนว่าน่าจะรวมถึง “ดาว” หลายคนในปัจจุบันด้วย
“ดาว” ที่มีอยู่จำนวนไม่น้อยในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าจะค่อย ๆ ลดความ “สุกสว่าง” ลงจนอาจจะไม่เป็นดาวอีกต่อไปเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปีข้างหน้าแต่พวกเขาก็น่าจะยังมีชีวิตที่ดีอยู่เนื่องจากความมั่งคั่งที่สะสมเอาไว้มากจาก “ช่วงทอง” ที่ผ่านมา หน้าที่ของเขาก็คือ พยายามรักษา “ปาฏิหาริย์”ของตนเองไว้ให้ได้ แต่ก็น่าจะยังมี “ดาว” บางดวงที่ต้อง “อับแสง” หรือ “ดับแสง” ลงเนื่องจากไม่ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ของตลาดและการลงทุน พวกเขายังใช้เทคนิคและวิธีการเดิมที่เคยทำเงินมากแต่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในระยะยาวและในทุกสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน กำไรที่เคยได้มหาศาลก็กลายเป็นขาดทุนมหาศาลจนอาจจะกลายเป็นหายนะ และนี่ก็คือสิ่งที่ผมจะพูดถึงในบทความนี้
ถ้าพูดถึงนักลงทุนระดับโลกที่เคยเป็น “ดาว” ในช่วงเวลาหนึ่งเช่น 10-20 ปีหรือมากกว่านั้นแต่สุดท้ายกลายเป็น “ดาวดับแสง” เราก็มีรายชื่ออยู่ไม่น้อยและอยู่ในทุกกลุ่มของนักลงทุน เริ่มตั้งแต่ Jesse Livermore นักเก็งกำไร “บันลือโลก” ที่เล่นหุ้นตั้งแต่อายุ 14 ปี ถึงอายุประมาณ 50 ปีเขาก็กลายเป็นมหาเศรษฐีมีเงินคิดเป็นหลายหมื่นล้านบาทไทยถ้าคิดเป็นเงินในวันนี้ แต่ตลอดชีวิตการลงทุนของเขานั้น เขาผ่านช่วงสูงสุดและตกต่ำหลายครั้งตามสภาพตลาดหลักทรัพย์จนถึงช่วงปลายชีวิตที่เขาอยู่ในสภาพล้มละลายและฆ่าตัวตายในปี 1940 ด้วยวัย 63 ปี
บิล มิลเลอร์ นักลงทุนหุ้น Growth ที่บอกว่าตนเองเป็น VI นั้น ครั้งหนึ่งน่าจะประมาณกว่า 10 ปีมาแล้วเขาเคยเป็น “ดาว” ที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนที่ยอดเยี่ยมเอาชนะตลาดติดต่อกันมา 15 ปี โดยการเน้นลงทุนในหุ้นไฮเท็ค แต่สุดท้ายเมื่อ “ฟองสบู่แตก” ผลงานของกองทุนก็คว่ำไม่เป็นท่าและทำให้ชื่อเขาตกลงมาจนคนรุ่นหลังแทบไม่รู้จักในปัจจุบันแม้ว่าเขาก็ยังทำงานเป็นผู้บริหารกองทุนรวมอยู่
“ดาวดับแสง” ที่น่าสนใจมากคนหนึ่งก็คือ Julian Robertson อดีตผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ กลุ่ม “Tiger Fund” ที่เน้นการลงทุนแนว Value เป็นหลัก เขาทำผลงานได้ดีมากมาตลอดแม้ว่าจะมีปีดีและร้าย อย่างไรก็ตาม ในปีประมาณ 2000 ที่หุ้น Growth กำลังมาแรง เขาก็ต้อง “ปิดกองทุน” เนื่องจากผลขาดทุนอย่างหนักโดยเฉพาะจากการลงทุนในหุ้นสายการบิน เขาสารภาพว่าเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นที่ทำให้หุ้น Value หรือแนวการลงทุนแบบ VI “ใช้ไม่ได้” อีกต่อไป บางทีเขาอาจจะคิดว่าความคิดและแนวทางของเขา “ตกยุค” แล้ว อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ลูกน้องของเขาหลายคนก็ออกมาตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ “Tiger Cubs” หรือ “ลูกเสือ” หลายสิบกองทุนโดยมีเขาเป็นคนช่วยลงเงินสนับสนุนและประสบความสำเร็จต่อมาจนถึงทุกวันนี้
ดาวดับแสงสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ นักกลยุทธ์ลงทุนของกองทุน Long-Term Capital ที่เป็นนักวิชาการการเงินชื่อดังสองคนที่ได้รับรางวัลโนเบิลทั้งคู่และทฤษฎีของพวกเขานั้นนักการเงินระดับปริญญาโทและเอกทุกคนต้องเรียนก็คือ Myron Scholes กับ Robert Merton ทั้งสองคนใช้ทฤษฎีและการพิสูจน์ทางสถิติการเงินมาออกแบบการลงทุนที่อาศัยการกู้เงินมหาศาลมาลงทุนในสิ่งที่เขาคำนวณดูแล้วว่า “ไม่มีความเสี่ยง” โอกาสที่จะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์นั้นน้อยจนแทบเป็นศูนย์ กองทุนตั้งขึ้นในปี 1994 ผลตอบแทนใน 3 ปีแรกนั้น “มหัศจรรย์” ที่ 21% 43% และ 41% ตามลำดับ ด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่ถูกนำเข้ามาลงทุนเพราะเชื่อมั่นใน “โมเดล” ของคนที่คิดหาทฤษฎีมูลค่าของ Option ที่เรียกว่า “Black and Scholes” แต่แล้ว เหตุการณ์ “ไม่คาดฝัน” ก็เกิดขึ้น เริ่มแรกก็คือวิกฤติต้มยำกุ้งและต่อมาที่สำคัญก็คือการ “ล่มสลาย” ของเงินรัสเซียในปี 1998 ที่ทำให้กองทุน “เจ๊ง” ความเสียหายเกิดขึ้นมหาศาลขนาดที่ธนาคารกลางสหรัฐต้องเข้ามาช่วยกู้ไม่ให้สถาบันการเงินที่เข้าไปเกี่ยวข้องต้องล้มละลาย เหตุการณ์ครั้งนี้ให้บทเรียนว่า “วิกฤติ” นั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยและ “ดาว” ที่ “ดับแสง” หรืออาจจะกำลังดับ ผมเองคงไม่กล่าวถึงตัวบุคคล แต่สิ่งที่ผมจะพูดก็คือสาเหตุที่ทำให้การลงทุนของพวกเขาเสียหายอย่างหนักจนบางครั้งเป็นหายนะนั่นก็คือเรื่องของการบริหารความเสี่ยงที่ดูเหมือนจะถูกละเลยไปมากในยามที่ทุกอย่างกำลังดูดีไปหมด ตลาดหุ้นสดใส ธุรกิจสดใส เส้นทางแห่งอนาคตมีแต่ความแน่นอน
“ดาว” ที่ดำรงอยู่ในทุกวันนี้นั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่นั้นน่าจะเป็นคนหนุ่มที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เป็นคนที่กล้าได้กล้าเสียและหลายคนอาจจะ “บ้าบิ่น” ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะประสบความสำเร็จอย่างสูงมาหลายปี หลายคนมีความคิดที่จะ “รวยมาก” เป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีในวันหนึ่ง พวกเขาไม่อยากจะแค่ลงทุนให้มีผลตอบแทนที่ดีมีฐานะการเงินที่ใช้ได้ เขาคิดว่าถ้าไม่รวยก็ “เจ๊ง” ไปเลยก็ได้ ไม่อยากจะมีชีวิต “ธรรมดา ๆ” ดังนั้น ในบางครั้งพวกเขาสามารถ “จำนองบ้านมาลงทุน” พวกเขาพร้อมกู้เงินแบบ “ไฮไฟแน้นซ์” ใช้เงินของทางบ้านหรือเงิน “นอกระบบ” คือกู้เงินหลายเท่าของเงินที่ตนเองมีมาลงทุนแบบใช้มาร์จิน ซึ่งทำให้ความเสี่ยงสูงมหาศาลแต่ก็สามารถทำให้รวยได้ในชั่วข้ามคืน โชคดีที่ว่าเขาประสบความสำเร็จ กำไรหลายล้านหรือหลายสิบหรือร้อยล้านบาทเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นเป็นใจ ตัวหุ้นเป็นใจ เขากลายเป็น “ดาวสว่างแสง” พวกเขาไม่หยุดและยังทำต่อเพราะอยากรวยขึ้นไปอีก
“ดาวดับแสง” มักจะเกิดขึ้นจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและการที่ “ดาว” ปล่อยให้การลงทุนอยู่ในความเสี่ยงมหาศาล เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการลงทุนแบบไม่กระจายความเสี่ยงถือหุ้นเพียงตัวสองตัวที่มีขนาดใหญ่มากโดยที่หุ้นตัวนั้นเองมีความเสี่ยงสูงมากเช่น มีหนี้มหาศาล มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นโภคภัณฑ์น้อยชนิด มีลูกค้าน้อยรายหรือเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่หรือลูกค้าใหม่ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ หรือเป็นสถาบันการเงินที่อาจจะล่มสลายได้ง่ายจากปัญหาหนี้เสีย และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ บริษัทนั้นมีการโกงของผู้บริหารที่อาจจะรุนแรงจนทำให้บริษัทล้มละลายได้
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ การที่จะเป็น “ดาวค้างฟ้า” ได้นั้น การบริหารความเสี่ยงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่น ไม่กู้เงินมาลงทุนเกิน 20% ของพอร์ต ไม่ถือหุ้นตัวเดียวสูงกว่า 50% ของพอร์ตไม่ว่ากรณีใด และถ้าถือหุ้นแบบนั้นก็ต้องมั่นใจว่าเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้นก็คือ อย่ามั่นใจในตัวเองจนคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราคาด ต้องคิดเสมอว่าอะไรคือ “จุดตาย” ของหุ้นและของเรา และโอกาสเกิดมีมากน้อยแค่ไหน