ผู้จัดการหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ผู้จัดการหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ต.ค. 15, 2017 1:35 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ในแวดวงดาราสมัยนี้ต้องมี  “ผู้จัดการส่วนตัว” ที่มีความสามารถรู้ว่าจะแนะนำให้ดาราทำตัวอย่างไรรวมถึงการทำ “ประชาสัมพันธ์” หรือโปรโมตตัวดาราด้วยวิธีการต่าง ๆ  เพื่อที่จะทำให้ดาราเป็นที่นิยมมากขึ้นซึ่งจะทำให้ “ค่าตัวดารา” สูงขึ้น  ในเรื่องของหุ้นเองนั้น  ผมคิดว่าหุ้นไทยจำนวนไม่น้อยก็มี  “ผู้จัดการหุ้น” ที่คอย “ปั้น” หุ้นให้มีมูลค่าตลาดหรือ Market Cap. สูงขึ้นเมื่อเทียบกับการไม่ทำ  มูลค่าตลาดของหุ้นที่สูงขึ้นนั้น  จะสูงขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบหลาย ๆ อย่างรวมถึงความสามารถของ “ผู้จัดการ” ที่เป็นคนปั้นด้วย  นี่ก็คงคล้าย ๆ  กับผู้จัดการส่วนตัวดาราบางคนที่ปั้นเก่งมากทำให้ดารามีค่าตัวสูงขึ้นมากเช่นเดียวกับตัวผู้จัดการที่รวยไม่แพ้กันจากการได้รับ “ส่วนแบ่ง” ตามค่าตัวดารา

    การ “ปั้นหุ้น” นั้นก็คล้าย ๆ  กับการปั้นดารา  จะต้องเริ่มจากการหาหุ้นหรือหาดาราที่จะปั้น  หุ้นที่จะสามารถปั้นให้ “ดัง” และมีมูลค่าตลาดสูงขึ้นได้มากนั้น  จะต้องมีพื้นฐานที่เหมาะแก่การส่งเสริมให้โดดเด่นได้ไม่ยาก  ประการแรกบริษัทจะต้องอยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ดีและมีโอกาสที่จะเติบโตไม่เป็นธุรกิจ “ตะวันตกดิน”   และถ้าไม่สามารถเติบโตในประเทศได้ก็ต้องมีเหตุผลชัดเจนว่าจะโตในต่างประเทศที่ไหนและเมื่อไร  ยิ่งมีโอกาสที่จะเติบโตมากเท่าไรก็ยิ่งสามารถปั้นให้บริษัทดูโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น

    Story หรือเรื่องราวหรือประวัติของบริษัทก็จะต้องดูดีเหมือนกับตัวดาราเช่นกัน  หุ้นที่มีภาพที่ดีนั่นคือ  มีความสามารถหรือเป็นผู้นำในระดับที่น่าประทับใจก็จะสามารถ  “ขาย” ให้กับนักลงทุนที่จะทำให้พวกเขาเชื่อว่าอนาคตการดำเนินงานของบริษัทจะสดใสประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เคยทำได้มาแล้วในอดีต

    ช่วงเวลาที่จะโปรโมทหุ้นนั้น  จะต้องเป็นเวลาที่เหมาะสมนั่นก็คือ  ภาวะตลาดหุ้นจะต้อง “เป็นใจ”  นักลงทุนจำนวนมากกำลัง  “คลั่งไคล้”  กับการลงทุน  เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและปริมาณการซื้อขายสูงลิ่ว  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนมีเงินสดในมือมากแต่การลงทุนทางอื่นโดยเฉพาะการฝากเงินให้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก

    ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่จะปั้นหุ้นให้มีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริงตามพื้นฐานระยะยาวก็คือ  บริษัทจะต้องมีหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดในปริมาณที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับพลังการซื้อของนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยและรายใหญ่ที่เข้ามา “เล่นหุ้น”  หรือซื้อขายหุ้น “ทุกวัน”  หรือเรียกสั้น  ๆ  ว่าหุ้น Free Float ต่ำ   ถ้าจะถามว่าคิดเป็นเม็ดเงินจำนวนเท่าไรก็คงตอบยาก  แต่ในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ผมคิดว่าหุ้นที่ซื้อขายหมุนเวียนในตลาดไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งมักจะเป็นบริษัทที่มี Market Cap. ไม่เกิน 20,000 ล้านบาท นั้น  ก็อยู่ในวิสัยที่ผู้จัดการหุ้นสามารถปั้นได้  อย่างไรก็ตาม  ถ้า Free Float น้อยกว่านั้นก็จะทำให้การปั้นง่ายขึ้นตามส่วน  ยิ่งหุ้นน้อยก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น

    สิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของการจัดการหุ้นให้ประสบความสำเร็จก็คล้าย ๆ กับการปั้นดารา  นั่นก็คือ  ความร่วมมือของ “ดารา” หรือเจ้าของบริษัท  ในกรณีนี้ก็คือ  เจ้าของและผู้บริหารบริษัทจะต้องโปรโมตตัวเองและบริษัทเต็มกำลัง  การออกข่าวดี ๆ  เกี่ยวกับบริษัทต้องมีมากและสม่ำเสมอ  ความมั่นใจในความสามารถและการเติบโตของบริษัทต้องเต็มที่  สำหรับผู้บริหารแล้ว  “Sky’s a limit”  นั่นคือ  บริษัทจะเติบโตและกลายเป็นบริษัท  “ระดับโลก”  ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ  ในระหว่างที่กำลัง “ปั้น” นั้น  เจ้าของจะต้องไม่ขายหุ้นจำนวนมากที่จะทำให้  “วงแตก”  เสียก่อน  ถ้าอยากจะขายก็ต้องหลังจากที่มูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มขึ้นมามากแล้วและบริษัทเป็นที่ “ยอมรับ” ในตลาดแล้วเท่านั้น

    ความสำเร็จของการปั้นหุ้นของผู้จัดการหุ้นนั้นก็เหมือนกับการปั้นดารา  นั่นก็คือ  มีทั้งหุ้นที่ “ประสบความสำเร็จ”  และที่ล้มเหลว  ระดับของความสำเร็จของหุ้นแต่ละตัวเองก็ต่างกัน  หุ้นบางตัวประสบความสำเร็จสูงมากและบางตัวก็น้อย  ผมเองมีเกณฑ์ของระดับของความสำเร็จในการโปรโมทหุ้นแบบหยาบ ๆ  ดังต่อไปนี้คือ

    ความสำเร็จระดับสูงสุดในการ “ปั้นหุ้น” ผมจะเรียกว่าเป็น  “หุ้นปั่น”  นี่คือหุ้นที่มีราคาหรือมูลค่าตลาดของหุ้นสูงกว่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทในระยะยาวเกิน 50%  แต่ในความเป็นจริงแล้วหุ้นปั่นจำนวนมากมีราคาเกินพื้นฐานมากกว่า 100% หรือบางทีก็อาจจะหลายเท่า  เช่น  จากราคา 2 บาทกลายเป็น10 บาทในช่วงสูงสุด  มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า  แต่หลังจากนั้นเมื่อ “เลิกปั่น” ไปแล้วหุ้นก็ตกกลับลงมาเหลือเท่าเดิม  คนปั้นหุ้นและเจ้าของอาจจะขายหุ้นทำกำไรมหาศาลในขณะที่คนที่เข้าไปเล่นส่วนใหญ่ขาดทุนอย่างหนัก

    ระดับความสำเร็จรองลงมาผมจะเรียกว่าเป็น “หุ้นที่มีการดูแล”  นี่คือหุ้นที่ผู้จัดการหุ้นโปรโมตได้ในระดับที่ดีและทำให้หุ้นมีมูลค่าสูงกว่าความเป็นจริงตั้งแต่ 20-50% ในระยะเวลาที่เขาทำอยู่  ความร้อนแรงและปริมาณการซื้อขายหุ้นรายวันก็มักจะไม่แรงเท่ากับหุ้นปั่น

    ระดับความสำเร็จ “ขั้นต้น”  นั้น  อาจจะแทบมองไม่ออก  แต่ผมจะเรียกว่าเป็น  “หุ้นที่มีการจัดการ”  นี่อาจจะเป็นแค่เรื่องของการโปรโมตหรือประชาสัมพันธ์กิจการโดยที่ “ผู้จัดการหุ้น” อาจจะไม่ได้เข้าไป  “ดูแล”  ในการซื้อขายหุ้นเป็นระยะอย่างในกรณีของ  “หุ้นที่มีการดูแล”  เลย  แม้แต่ชื่อว่าเป็นผู้จัดการเองนั้น   ก็อาจจะไม่ใช่คำเรียกที่เหมาะสม  ดังนั้น  มูลค่าหุ้นก็จะสูงกว่าความเป็นจริงไม่เกิน 20%

    หุ้นกลุ่มใหญ่โดยเฉพาะที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่และมี Market Cap. รวมทั้ง Free Float ที่สูงเกินกว่าที่ผู้จัดการหุ้นจะดูแลไหวนั้น  ผมจะเรียกว่าเป็น  “หุ้นที่ดูแลไม่ได้”  นี่คือหุ้นที่ราคามักจะสะท้อนพื้นฐานที่ควรเป็น  เพราะคนที่เข้ามาซื้อขายนั้นต่างก็พิจารณาลงทุนซื้อหรือขายหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานที่ต่างคนต่างก็คิดด้วยเหตุและผล  คนกลุ่มนี้โดยเฉพาะที่ซื้อขายหุ้นมาก ๆ อย่างนักลงทุนสถาบันมักจะมีความรู้และมีข้อมูลมาก  ถ้าเขาคิดว่ากิจการดีและหรือโตเร็วเขาก็ซื้อ  แต่ถ้าแย่เขาก็จะขาย  โดยเฉลี่ยแล้ว  ราคาของหุ้นก็จะสะท้อนความคิดเหล่านั้นซึ่งก็มักจะถูกต้อง—โดยเฉลี่ย

    สุดท้ายก็คือหุ้นที่ผมเรียกว่าเป็น  “หุ้นที่ไม่มีการดูแล”  ซึ่งก็มักจะเป็นหุ้นที่เจ้าของไม่สนใจราคาหุ้นของบริษัทหรือไม่สนใจที่จะโปรโมตหุ้นของตนเอง  พวกเขาไม่สนใจที่จะขายหุ้นและคิดว่าหน้าที่ของเขาก็คือบริหารกิจการและจ่ายปันผลเมื่อมีกำไร  ดังนั้น  ราคาหุ้นก็มักจะไม่เกินมูลค่าพื้นฐานของกิจการ  อย่างไรก็ตาม   ในบางกรณี  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ในบริษัทที่ผู้บริหารหรือเจ้าของไม่สนใจผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือผู้ถือหุ้นอื่นเท่าที่ควร   ซึ่งทำให้ไม่มีใครสนใจจะลงทุนซื้อขายหุ้นของบริษัท  ราคาหุ้นก็อาจจะต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นได้

    การที่จะรู้ว่าเป็นหุ้นที่มีการจัดการหรือไม่นอกจากจะดูพฤติกรรมแล้วก็ยังต้องดูถึงความถูกความแพงของหุ้น เช่น จากค่า PE ว่าหุ้นตัวนั้นมีค่าเท่าไร  ถ้าบริษัทมีการโปรโมตมาก มีราคาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและมีปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงกว่าปกติและมีผู้ถือหุ้นสถาบันน้อย  ประกอบกับค่า PE ที่สูงลิ่วประเภท 40-50 เท่าขึ้นไป  แบบนี้เราก็ต้องระวังว่ามันอาจจะเข้าข่ายเป็นหุ้นปั่นหรือหุ้นที่มีการดูแลสูง  โอกาสที่ราคาหุ้นจะสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานมากก็เป็นไปได้สูง  ซึ่งถ้าเราเป็น VI ที่เน้นความปลอดภัยก็ควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุน   แต่ถ้าเราพิจารณาดูแล้วเห็นว่าหุ้นตัวนั้นไม่สามารถถูกจัดการได้  และราคาหุ้นนั้นน่าจะสะท้อนมูลค่าพื้นฐานตามที่เป็นจริง—ในสายตาของ “ตลาด”  แต่เราเห็นต่างว่ามันเป็นหุ้นถูก  เราก็สามารถซื้อหุ้นลงทุนได้

    ข้อสรุปสุดท้ายก็คือ  การพิจารณาทั้งหมดที่กล่าวถึงนั้น  จะทำให้เราเข้าใจและสามารถวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวได้โดยอาศัยพฤติกรรมต่าง ๆ  ของคนที่อาจจะเป็น “ผู้จัดการหุ้น” ประกอบกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาด  ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพว่าหุ้นตัวนั้นน่าจะเป็นหุ้นประเภทไหนและราคาน่าจะเป็นอย่างไร  ทั้งหมดนั้นจะช่วยให้เราเลือกหุ้นได้ละเอียดรอบคอบขึ้น  โดยส่วนตัวผมเองแล้ว  ผมจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่เสี่ยงจะเป็นหุ้นปั่นและหุ้นที่มีการดูแลและเน้นลงทุนในหุ้นที่ดูแลไม่ได้หรือหุ้นที่ไม่มีการดูแลเป็นหลัก  ส่วนหุ้นที่มีการจัดการนั้น  บางทีผมก็ลงทุนอยู่เหมือนกัน  เพราะแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะสูงไปบ้างเล็กน้อย  แต่หุ้นแบบนี้มักจะปรับตัวได้เร็วเวลามีข่าวดีเช่นตลาดหุ้นกำลังวิ่ง เป็นต้น
[/size]



ตอบกลับโพส