อยู่อย่างมหาเศรษฐี/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

อยู่อย่างมหาเศรษฐี/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ต.ค. 22, 2017 3:09 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและตำแหน่งหน้าที่การงานของคน ๆ นั้น  ยิ่งรวยมากเท่าไรหรือหน้าที่การงานสูงมากเท่าไร  ชีวิตความเป็นอยู่ก็มักจะหรูหราเพิ่มขึ้นเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม  ความหรูหราฟุ่มเฟือยนั้น  เมื่อสูงขึ้นถึงจุดหนึ่งก็จะหยุด  ความพึงพอใจของเจ้าตัวก็จะหันไปสู่เรื่องอื่นที่เงินทองและอำนาจไม่อาจจะให้ได้  ตัวอย่างเช่นการเป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากคนทั่วไป เป็นต้น

    ที่กล่าวนั้นก็เป็นกรณีทั่วไป  ข้อยกเว้นก็คือ  คนรวยบางคนก็อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่หรูมากนักเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของเขา  เขาอาจจะ “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องแสดงออกถึง “ความร่ำรวย” เพื่อเกื้อหนุนธุรกิจเพื่อที่จะ  “ต่อความร่ำรวย” ขึ้นไปอีก  เหตุผลข้อนี้ก็เป็นเพราะสังคมและธุรกิจนั้นมักอยากที่จะเกี่ยวข้องหรือทำธุรกิจกับ “คนรวย” คนที่ดู “ซอมซ่อ” หรือไม่รวยนั้น  คนรวยหรือคนในแวดวงธุรกิจส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่อยากคบค้าหรือทำธุรกิจด้วย  ดังนั้น  คุณจำเป็นต้อง  “ดูรวย” ซึ่งก็ต้องใช้ชีวิตที่หรูหรา

    อีกเหตุผลหนึ่งที่คนรวยบางคนอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่หรูหรานั้นอาจจะเป็นเพราะ  “เขาไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น”  กรณีแบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ได้เกิดมารวยและต้องใช้เวลาสร้างฐานะยาวนาน  พวกเขาจำนวนไม่น้อย  “ชิน”  ที่จะต้องประหยัดอดออมเพื่อนำเงินมาสร้างความมั่งคั่ง  เมื่อร่ำรวยแล้วเขาจึงยังใช้ชีวิตคล้าย ๆ  ของเดิมที่เขารู้สึกว่ามีความสุขเพียงพออยู่แล้ว  ความหรูหราไม่ได้เพิ่มความสุขขึ้นเท่าไรนัก  งานที่สร้างฐานะและเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาต่างหากที่ทำให้เขามีความสุข  การเป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากสังคมต่างหากที่เป็นความสุข  พวกเขา “ข้ามขั้นตอน” ของการใช้ชีวิตที่หรูหราซึ่งสำหรับเขาแล้วไม่ใช่ความสุขไป

    คนที่มั่งคั่งและร่ำรวยจากการเป็น “นักลงทุนแบบ VI” นั้น  มีโอกาสและหลายคนอาจจะเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบธรรมดาไม่หรูหราทั้ง ๆ  ที่มีเงินมหาศาลได้  เหตุผลก็อย่างที่กล่าวคือเขาไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความร่ำรวยก็ยังสามารถลงทุนทำเงินได้  เพราะการลงทุนโดยเฉพาะแบบ VI นั้น  ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นนอกจากความคิดและการตัดสินใจที่ถูกต้อง  เหตุผลอีกอย่างก็คือ  “VI พันธุ์แท้” นั้น  มักจะคิดและใช้ชีวิตแบบ “VI” ที่มอง “คุณค่า” หรือความสุขที่จะได้จากการจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการนั้น  ดังนั้น  เขาไม่ใช้จ่ายมากเพื่อความหรูหราแต่ประโยชน์ใช้สอยไม่ได้แตกต่างกัน    เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  พวกเขามักจะ  “ชิน” กับการประหยัดเพื่อนำเงินมาลงทุนมากที่สุดในช่วงที่ยังไม่รวย

    วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้ชีวิตที่ต่ำกว่ามาตรฐานของความมั่งคั่งของเขา  และต่อไปนี้คือตัวอย่างที่อาจจะเป็นบทเรียนให้ VI พันธุ์แท้ทั้งหลายนำมาประยุกต์ใช้  มันเป็นแบบฉบับของการใช้ชีวิตที่ “ไม่น่าเชื่อ” สำหรับคนที่มีความมั่งคั่งล่าสุดถึง 75 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท

    เรื่องแรกก็คือ  เขาก็ยังอยู่ในบ้านเดิมตั้งแต่ปี 1958 หรือประมาณ 50 ปีมาแล้วที่เขาซื้อมาในราคา 31,500 เหรียญ หรือถ้าเทียบในวันนี้ก็อาจจะมีราคาประมาณ 270,000 เหรียญ หรือไม่เกิน 10 ล้านบาทไทย

    สอง  เขายังกินอาหารแบบเดิม ๆ  ทุกวัน  โดยที่อาหารเช้าก็มักจะเป็นแซนด์วิชราคาไม่เกิน 3-4 เหรียญจากร้านแม็คโดนัลด์ที่เขาจะแวะจอดรถซื้อระหว่างทางไปทำงาน  ในระหว่างวันเขาก็มักจะดื่มโค๊กวันละหลายกระป๋อง  เช่นเดียวกัน  อาหารกลางวันก็มักจะเป็นอาหารง่าย ๆ  รวมถึงอาหารจานด่วนหรือไม่ก็ร้านในท้องถิ่นที่เขามักกินประจำ  ตกเย็นเขามักขับรถกลับบ้านไม่ได้มีรายการสังสรรค์ดินเนอร์หรือประชุมต่อ  ตอนค่ำเขามักทำข้าวโพดกินเองในขณะที่ดูรายการทีวีหรือทำงานอดิเรก

    สาม รถยนต์ที่บัฟเฟตต์ใช้นั้นจะเป็นรถเก่าน่าจะเกิน 5 ปีขึ้นไปเป็นหลัก  เพราะเขาบอกว่าปีหนึ่งเขาใช้แค่ประมาณ 3,500 ไมล์ ดังนั้น  เขาจะซื้อรถใหม่น้อยมาก  และเมื่อจะซื้อก็เป็น “รถมหาชน” ราคาถูกที่มักจะซื้อตอนลดราคา

    งานอดิเรกของบัฟเฟตต์เองนั้น  มีราคาถูกมาก  เขาไม่ได้จ่ายเงินเป็นสมาชิกคลับราคาแพง  งานอดิเรกยอดนิยมของเขาก็คือการเล่นบริดจ์ที่เขา “ติด” มาก  เล่นได้ทีละหลาย ๆ  ชั่วโมง เขาเคยพูดเล่น ๆ  ว่าเขาจะไม่เดือดร้อนเลยที่จะติดคุกถ้าในคุกมีขาบริดจ์ที่ถูกใจซัก 3 คน  ในระยะหลังที่มีอินเตอร์เน็ตแพร่หลาย  เขาก็เล่นบริดจ์กับเพื่อนผ่านอินเตอร์เน็ต

    ห้า  พูดถึงการสังคมกับเพื่อนฝูงโดยเฉพาะที่สนิทสนมกัน บัฟเฟตต์ดูแลเพื่อนดีแต่ก็ไม่หรูหราฟู่ฟ่า    ตัวอย่างเช่น  ถ้าบิลเกตมาเยี่ยม  เขาก็มักจะขับรถไปรับถึงสนามบินเอง  เขาค่อนข้างจะคบหาและคุยกับเพื่อนที่รู้ใจบ่อย ๆ  เขาให้ความสำคัญกับ “มิตรภาพ” สูงมาก

    หก บัฟเฟตต์นั้นมีชื่อว่าเป็นคน  “โลว์เท็ค”  ไม่ใช้เครื่องมือสื่อสารราคาแพง  ไอโฟนรุ่นใหม่ราคาแพงนั้นไม่ได้กินเงินเขา  ในปี 2013 มีนักข่าว CNN สัมภาษณ์เขาและขอดูโทรศัพท์มือถือซึ่งมันยังเป็นโทรศัพท์โนเกียรุ่นพับได้ซึ่งเขา “ปล่อยมุก” ว่ามันเป็นของขวัญจาก อาเล็กซานเดอร์เกรแฮมเบลล์ ผู้คิดค้นและประดิษฐ์โทรศัพท์เครื่องแรกของโลก

    เจ็ด  บัฟเฟตต์ไม่ได้สวมสูทจากดีไซเนอร์ชื่อดัง  กระเป๋าสตางค์สีดำของเขานั้นใช้มา 20 ปี  แต่เขาเคยพูดเล่นว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นไม่ใช่ของถูก  เพียงแต่ว่าเวลาที่เขาใส่นั้นมันดูไม่ค่อยดีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม  ในปี 2017 บัฟเฟตต์ให้สัมภาษณ์ CNN ว่าเขาใช้สูทตัดของ Madame Li ร้านตัดเสื้อของจีนเป็นประจำและก็ได้เสื้อที่ดีมาใช้ฟรีเป็นอภินันทนาการ

    แปด ที่แทบจะไม่น่าเชื่อก็คือ  บัฟเฟตต์ยังใช้คูปองลดราคาสินค้า เช่น ครั้งหนึ่งที่ไปเที่ยวกัน  บิลเกตบอกว่าบัฟเฟตต์ควักคูปองลดราคาอาหารแม็คโดนัลด์ออกมาใช้  ซึ่งบิลเกตยังได้โชว์หลักฐานภาพถ่ายให้นักข่าวดูด้วย

    เก้า  นอกจากชีวิตส่วนตัวแล้ว  ในเรื่องของธุรกิจเอง  บัฟเฟตต์ก็ประหยัดและเน้นเรื่องของประสิทธิภาพมาก  สำนักงานใหญ่ของเบิร์กไชน์นั้น  ยังอยู่ที่เดิมที่คีวิทพลาซ่ามา 50 ปีแล้ว  และทุกวันนี้ก็ยังใช้พนักงานเท่าเดิมคือ 25 คนทั้ง ๆ  ที่ธุรกิจโตขึ้นเป็นพัน ๆ  เท่าและใหญ่เป็น 10 อันดับแรกของอเมริกา

    สุดท้าย  บัฟเฟตต์ เป็นคนที่ให้คุณค่ากับเพื่อนและความสัมพันธ์เหนือวัตถุ  เขาเคยพูดกับนักศึกษาบริหารธุรกิจว่าเราไม่สามารถซื้อสุขภาพและความรักได้  นอกจากเพื่อนสนิทที่เขามีหลายคนแล้ว  เขาเป็นคนที่เน้นครอบครัวมาก  ลูกสาวบัฟเฟตต์เคยให้สัมภาษณ์ว่า  บัฟเฟตต์คุ้นเคยและรู้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตหลาน ๆ  ของเขาซึ่งมีจำนวนมากทุกคน

    ถ้าจะว่าไป  มีมหาเศรษฐีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตต่ำกว่าความมั่งคั่งของพวกเขา  ในสังคมไทยอาจจะมีน้อยและดูเป็นเรื่องแปลก  เหตุผลก็คงเป็นเพราะเราเป็นสังคมที่เน้น  “หน้าตา” มากกว่าอีกหลาย ๆ  ประเทศ  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าอนาคตเราก็คงจะปรับตัวคล้ายกับประเทศอื่นโดยเฉพาะที่เป็นเศรษฐกิจที่ก้าวหน้ากว่ามากขึ้น

    ก่อนจะจบผมคงต้องบอกว่า  การใช้จ่ายมากตามฐานะความมั่งคั่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีหรือเสียหายแต่อย่างใด  ถ้าใช้แล้วมีความสุขเพิ่มขึ้นผมคิดว่าเราก็ควรจะใช้  แต่ถ้าใช้แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีความสุขมากขึ้นและอาจจะทำให้เราลืมทำในสิ่งที่มีความสุขเพิ่มมากกว่า  ผมก็ไม่เห็นเหตุผลว่าเราจะใช้ไปทำไม  สำหรับผมแล้ว  ผมคิดว่าในประเด็นของเรื่องความมั่งคั่งหรือเรื่องเงิน  การมีเงินโดยตัวของมันเองก็ทำให้เรามีความสุขอยู่แล้ว  บางทีในบางสถานการณ์โดยเฉพาะที่เรายังไม่รวยจริง ๆ  นั้น  การมีเงินทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการใช้เงินด้วยซ้ำ
[/size]



ตอบกลับโพส