Fact VS Imagination/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Fact VS Imagination/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ธ.ค. 10, 2017 3:17 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    การเรียนรู้เรื่องของการลงทุนนั้น  สิ่งสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการเรียนรู้เรื่องของ “คน” หรือถ้าจะให้ชัดเจนลงไปอีกก็คือการเรียนรู้เรื่อง “พฤติกรรมของคน”  เพราะคนเป็นคนที่ “ลงทุน” หรือ “เล่นหุ้น”  อยู่ในตลาดหลักทรัพย์  ราคาของหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นขึ้นอยู่กับการซื้อขายของคน  คนบางคนก็ใช้  “เหตุผล” ในการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายอิงจาก “มูลค่าที่แท้จริง” ของกิจการ  คนอีกจำนวนมากก็ใช้  “อารมณ์” ในการซื้อขายโดยอิงจาก “ราคา” ที่ขึ้นลงและ  “เรื่องราว” ของกิจการที่เขาคิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต  หรือพูดง่าย ๆ  ซื้อขายหุ้นโดยอิงจาก  “จินตนาการ” ที่เขามีต่อตัวหุ้นและกิจการ

    ระหว่างความจริงหรือ Fact  กับ จินตนาการหรือ Imagination นั้น  อะไรที่มี “พลัง” มากกว่าในการตัดสินใจของคนที่จะซื้อหรือขายหุ้น?   นี่เป็นประเด็นสำคัญที่เราควรทำความเข้าใจ  เพราะถ้าเรารู้  เราก็จะสามารถคาดการณ์หรืออธิบายปรากฏการณ์ของหุ้นที่เคลื่อนไหวในตลาดได้ดีขึ้น  เช่นเดียวกัน  ถ้าเรารู้  เราก็สามารถกำหนดหรือควบคุมตนเองให้ปฏิบัติในทางที่เป็นคุณแก่การลงทุนของตัวเองได้ดีขึ้นเช่นกัน

    การดำเนินชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ถูกก่อร่างขึ้นโดยยีนของคนนั้นบอกว่าเราเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดกว่าสัตว์อื่นในมิติสำคัญก็คือ  เราเป็นสัตว์ที่สามารถสร้าง “จินตนาการ” ที่ซับซ้อนขึ้นในใจและปฏิบัติตนตามนั้นได้อย่างพร้อมเพรียงกัน  โดยที่จินตนาการนั้น  ถูกส่งผ่านจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่งโดยการสื่อสารที่มนุษย์มีความสามารถสูงมากผ่านการพูดและภาษาที่ไม่มีสัตว์อื่นทำได้ดีเท่าหรือใกล้เคียง  นั่นทำให้เราเป็นสัตว์ที่มีความสามารถสูงมากเหนือสัตว์อื่นทั้งปวงเพราะเราสามารถ  “รวมพลัง”  กันทำสิ่งต่าง ๆ  ที่คนคนเดียวหรือคนน้อยคนไม่สามารถทำได้  พูดง่าย  ๆ  คนครองโลกได้ไม่ใช่เพราะเราฉลาดล้ำเลิศ  แต่เราครองโลกเพราะเราสามารถรวมพลังได้ดีมาก—ผ่านจินตนาการร่วมของคนในสังคม

    เราจินตนาการว่าเรามีเมืองมีประเทศ  มีกฎหมาย  มีศาสนา  มีวัฒนธรรมของตนเองและเราก็ปฏิบัติตนตามสิ่งที่คนในสังคมเชื่อ  เราสร้าง  “เงิน”  ขึ้นมาที่ทุกคนยอมรับและสามารถนำไปแลกซื้อสิ่งของต่าง ๆ  ทั้ง ๆ  ที่เงินนั้น  “กินไม่ได้”  จริง ๆ  แล้วเงินก็คือกระดาษหรือแม้แต่เป็นแค่ตัวเลขในธนาคารหรือตัวเลขสมมุติในคอมพิวเตอร์แบบบิตคอยน์  เราเชื่อในอำนาจของข้าราชการที่คุมกฎเกณฑ์ต่าง ๆ  ตามกฎหมายที่เราเขียนขึ้น  เราสามารถซื้อขายหลักทรัพย์กับคนที่เราไม่เห็นหน้าและไม่กลัวว่าจะไม่ได้รับเงิน  ทั้งหมดนั้นเพราะเราและคนในสังคมต่างก็มีจินตนาการและปฏิบัติตามจินตนาการนั้น

    แน่นอน  เรายังปฏิบัติตาม  “ความจริง”  ที่เรารู้สึกและรับรู้ได้เช่น  เราหิวเราก็ต้องหาอะไรมากิน  เรามีอารมณ์รักเราก็อยากจะมีเพศสัมพันธ์  เราโกรธเราก็ปฏิบัติอย่างหนึ่ง  เรารักคนในครอบครัวและเราก็คอยช่วยเหลือให้ปลอดภัยจากอันตรายเช่นเดียวกับที่เรา “รักชาติไทย” เราก็ปฏิบัติต่อชาติทำนองเดียวกันเพียงแต่นั่นเป็นเรื่องที่มาจากจินตนาการว่าเราเป็น “คนไทย” เราอาจจะไม่รัก “ชาติอื่น” โดยเฉพาะถ้าเราคิดว่าชาตินั้นเป็น  “ศัตรู”  เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม  คนทั่วไปก็ไม่เคยแยกว่าพฤติกรรมที่เราทำเหมือนกันนั้น  บางทีก็มีเหตุผลมาจาก  Fact  แต่บางทีก็มาจาก Imagination  บ่อยครั้ง “ความรุนแรง”  นั้นมาจากจินตนาการมากกว่าความจริงด้วยซ้ำ

    กระบวนการในการสร้างจินตนาการที่สำคัญที่สุดก็คือการสื่อสารโดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารมีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างทุกวันนี้   ในอดีต  การสื่อสารเพื่อสร้างจินตนาการให้กับคนในสังคมก็เพียงแต่ผ่านการบอกเล่า  การสวด  การอบรมสั่งสอนโดยคนในครอบครัว  ต่อมาก็มีสื่อเช่นคำสั่งหรือประกาศผ่านกระดาษ  ตามด้วยหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์   จนถึงขณะนี้เรามี Internet และสื่อสังคมแบบเคลื่อนที่สำหรับแต่ละคนซึ่งทำให้กระบวนการสร้างจินตนาการก้าวถึงจุดสุดยอด  ผลกระทบก็คือ  เมื่อคนจำนวนมากมีจินตนาการแบบเดียวกัน  พวกเขาก็ปฏิบัติแบบเดียวกัน  และนั่นส่งผลให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีผลอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่าในอดีต—ทั้งในด้านที่ดีและร้าย

    ถ้าจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นนั้น  สอดคล้องและถูกต้องตามความเป็นจริงที่ควรจะเป็นในอนาคต  การปฏิบัติตามจินตนาการนั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้อย่างดีและยั่งยืน  ตรงกันข้าม  ถ้าจินตนาการนั้นไม่ถูกต้องหรือดีเฉพาะในสถานการณ์หนึ่งแต่เมื่อสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอาจจะไม่เหมาะสม   การปฏิบัติตามจินตนาการจะกลายเป็นเรื่องที่อันตราย  บางทีมันอาจจะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยซ้ำ  ตัวอย่างเช่นการสร้างจินตนาการรักชาติและทำลายอีกประเทศหนึ่งของชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์ เป็นต้น

    กลับมาที่เรื่องของการลงทุน  ราคาหรือความถูกความแพงของหุ้นนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ  มันสะท้อน  Fact ของตัวบริษัท  และ  Imagination ของคนต่อหุ้นตัวนั้น  Fact ของหุ้นก็คือคุณภาพหรือความแข็งแกร่งทางการตลาดที่บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ดีแค่ไหน   Fact รวมถึงความสามารถในการทำกำไรและความยั่งยืนของกำไรนั้น  และ Fact ยังรวมถึงการเติบโตของบริษัท ยิ่งบริษัทโตเร็วและโตต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน  กิจการก็ยิ่งมีมูลค่าที่แท้จริงสูง  ราคาหรือความถูกความแพงของหุ้นในระยะยาวแล้วก็จะสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปหลาย ๆ  ปี  หุ้นที่แข็งแกร่งมากและโตเร็วอาจจะมีมูลค่าคิดจาก PE เป็น 1.5 หรือ 2 เท่าของ PE เฉลี่ยของตลาดในขณะนั้น เป็นต้น

    แต่ราคาหุ้นที่แท้จริงในขณะนั้นอาจจะไม่ได้สะท้อนเพียง Fact  บ่อยครั้งมันสะท้อน Imagination ของคนเล่นหุ้นด้วย  จินตนาการของคนลงทุนในหุ้นนั้นอาจจะผิดจาก Fact มาก  พวกเขาคิดหรือฟังคนอื่นที่ช่วยสร้างจินตนาการว่าอนาคตของบริษัทจะไม่เหมือนอดีต  กิจการจะแข็งแกร่งและโตเร็วขึ้นกว่าเดิมมากด้วยเหตุผลร้อยแปด  และการเติบโตนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้นมหาศาล  การซื้อหุ้นในขณะนี้ก่อนที่บริษัทจะโตและราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงคือหนทางที่จะทำให้รวยจากหุ้นได้เร็วที่สุด  เหนือสิ่งอื่นใด  เซียนทั้งหลายต่างก็บอกว่าการลงทุนนั้นคุณต้อง “มองไปข้างหน้า  อย่ามองกระจกหลัง”  อดีตนั้นไม่สำคัญ  อนาคต (ในจินตนาการ) คือสิ่งที่กำหนดว่าราคาหุ้นจะไปทางไหน  นี่คือเรื่องของจินตนาการล้วน ๆ

    Value หรือมูลค่าหุ้นที่มาจากจินตนาการนั้น  บางครั้งมีค่าสูงยิ่งกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัท   หุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยมที่มีมูลค่าพื้นฐานเท่ากับ PE 30 เท่า นั้นอาจจะสามารถเพิ่มราคาขึ้นไปอีกเท่าตัวเป็น PE 60 เท่าได้ง่าย ๆ  ถ้านักลงทุนจำนวนมากมี Imagination ว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่หรือกลายเป็นบริษัท “ระดับโลก”    เหตุผลนั้นอาจจะไม่น่าเชื่อถือ  แต่มนุษย์เองนั้นส่วนใหญ่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการตัดสินใจโดยเฉพาะในช่วงสั้น ๆ  อารมณ์นั้นเหนือกว่าเหตุผลเสมอ

    ในยามที่ตลาดหุ้นเงียบเหงายาวนานหรือเป็น “ตลาดหมี”  คนมักจะไม่มี Imagination กับหุ้นนัก  หรือถ้าจะมีก็เป็นทางด้านลบที่คนอยากหลีกเลี่ยงและสื่อสารให้คนในสังคมรู้สึก “กลัว”   ราคาหุ้นก็จะสะท้อนกับ Fact หรือความจริงของหุ้นซึ่งก็คือความแข็งแกร่งและการเติบโตที่แท้จริงของบริษัท   ตรงกันข้าม  ในยามที่ตลาดหุ้นร้อนแรงคึกคักเป็นตลาดกระทิงและผู้คนต่างก็  “รัก”  หุ้น  คนก็มักจะมี Imagination ที่ดี ๆ  เกี่ยวกับหุ้นและให้มูลค่าหุ้นตัวนั้นสูงกว่าปกติมาก  หน้าที่ของ VI “พันธุ์แท้” ทั้งหลายก็คือ  ทุกครั้งที่วิเคราะห์พิจารณาการลงทุนในหุ้นแต่ละตัว  เราจะต้องพยายามแยกแยะว่าราคาหุ้นที่เราเห็นนั้น  PE กี่เท่าที่มาจากพื้นฐาน  และ PE อีกกี่เท่านั้นมาจากจินตนาการของคนที่เล่นหุ้นตัวนั้นอยู่  สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว  เรามักจะให้ Value เฉพาะที่มาจากพื้นฐาน  ส่วน Value ที่มาจากจินตนาการของคนในตลาดนั้น  เราต้องไม่ให้ค่า  เหตุเพราะเราไม่รู้ว่าจินตนาการจะเปลี่ยนไปเมื่อไร  บ่อยครั้งมันเปลี่ยนแปลงไปแทบจะในชั่วข้ามคืน  ถ้าไม่เชื่อลองไปดูว่าหุ้นที่ราคาตกลงมาเป็น “หายนะ” นั้น  เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นคนในตลาดหุ้น “จินตนาการ”  ว่าบริษัทเป็นอย่างไร
[/size]



ตอบกลับโพส