โค้ด: เลือกทั้งหมด
นักลงทุนแบบ VI พันธุ์แท้นั้น โดยธรรมชาติแล้วมักจะเป็น “คนขวางโลก” เขามักจะเป็น “เสียงส่วนน้อย” และมักจะเป็นคนที่ “มีความคิดเป็นอิสระ” ในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตและ แน่นอนก็คือ การลงทุน เขามักจะไม่ถูกใครชักจูงได้ง่าย ๆ รวมถึงความคิดและความเชื่อของสังคมก็ไม่สามารถส่งอิทธิพลต่อเขาได้มากนักเพราะเขามักจะ “ตั้งคำถาม” และ “โต้เถียง” กับทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงสิ่งที่ดูเหมือนว่า “เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป” ในคนส่วนใหญ่ จอห์น เนฟฟ์ นักลงทุน VI ชื่อดัง “รุ่นเก๋า” นั้นมีเรื่องเล่าว่า “ทะเลาะแม้แต่กับเสาไฟฟ้า” ส่วนเบน เกรแฮม “บิดาแห่ง VI” นั้น ว่ากันว่าลูกน้องรวมถึงบัฟเฟตต์ จะเสนอหรือชักจูงให้ซื้อหุ้นแต่ละตัวนั้น “ยากมาก” เพราะเขาจะคิดแล้วคิดอีกว่าสิ่งที่พูดหรือสิ่งที่คนทั่วไปหรือจำนวนมากเชื่อนั้น มันจริงไหม? มีอะไรเป็นจุดอ่อนและหุ้นมีราคาสมเหตุผลไหม? จิตวิทยาสังคมหรืออารมณ์นั้น ไม่สามารถสร้างความลำเอียงกับเขาได้ บ่อยครั้งคนจึงมองพวกเขาว่าเป็นคนที่ “ขวางโลก” คนที่ “ชอบสังคม” บางคนอาจจะมองว่าพวกเขา “เพี้ยน” ด้วยซ้ำ
ผมเองยอมรับว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แม้แต่ก่อนที่จะเป็น VI ยังไม่ได้เริ่มลงทุนและยังทำงานในสถาบันการเงินบางแห่ง ผมชอบคิดและเสนอความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ที่อาจจะถูกมองว่า “แปลก” และลึก ๆ แล้ว “ไม่เข้าท่า” รวมถึง ไม่ “สามารถปฏิบัติได้” ลับหลังผมเคยได้ยินว่ามีคนนินทาว่าเป็น “คนเพี้ยน ๆ” ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจหรือกังวลอะไร ผมรู้ตัวว่าตนเองนั้นเป็นคนปกติที่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ดีกว่าคนที่พูดมากจนเขา “ตามไม่ทัน” และเราไม่ควรไปคิดอะไรที่ไม่ดีกับเขา ว่าที่จริงผมขอบคุณที่รู้ว่ามีคนคิดแบบนั้น ในภายหลังผมก็พยายามไม่พูดอะไรมากเกินไปที่จะทำให้เกิดภาพพจน์แบบนั้น เพราะมันจะทำให้เรา “ก้าวหน้าช้าลง” เนื่องจากคนส่วนใหญ่รวมถึงเจ้านายนั้นมักไม่ชอบ “คนเพี้ยน” คนส่วนใหญ่ชอบคนที่ทำตามคนส่วนใหญ่แต่ทำให้ดีกว่า และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาชีพพนักงานกินเงินเดือนในบริษัทใหญ่ของผมไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
ในความคิดของผมแล้ว อาชีพหรืองานที่ “คนเพี้ยน” หรือ “คนขวางโลก” ที่มักเป็นเสียงส่วนน้อยถึงน้อยมากจะทำได้ดีก็คืองานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง ๆ เช่น ศิลปิน นักวิจัยและพัฒนา คนทำงานแนว “สตาร์ทอัพ” และ “นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์” โดยเฉพาะที่เป็น “VI” เพราะคนเหล่านี้ไม่ค่อยจำเป็นที่จะต้องให้ใครมาเห็นด้วยกับสิ่งที่ตนเองคิดและทำ ความสำเร็จของพวกเขาขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ว่าที่จริงถ้ามีคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำตั้งแต่ทีแรก สิ่งที่เขาคิดหรือทำก็มักจะไม่ค่อยมีค่าเท่าไร ลองคิดดูว่าถ้าคุณซื้อหุ้นที่ทุกคนก็ชอบหรือพูดถึงอยู่แล้ว กำไรที่ได้ก็คงจะน้อย บ่อยครั้งกลับขาดทุนหรือเจ๊งได้ เหตุผลก็คือ ราคามันอาจจะแพงเกินไป หุ้นยิ่งดังยิ่งเป็นที่ยอมรับก็ยิ่งแพงมาก ถ้าภายหลังเกิดผิดพลาดหรือสถานการณ์เปลี่ยน ราคาก็อาจจะดิ่งลงเหว
ลองมาดูว่าคนขวางโลกอย่างผมคิดอย่างไรในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
เรื่องแรกก็คือ ระยะเวลาของการลงทุน คนส่วนใหญ่คิดว่าการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นนั้น ควรจะมองสั้น ๆ กำไรพอสมควรแล้วก็ควรจะขาย คนจำนวนมากถือหุ้นต่ำกว่าหนึ่งเดือน บางคน “แนว VI” ก็มอง “ระยะกลาง” อาจจะถือซัก 1- 2 ปี คิดว่าทำกำไรเป็นกอบเป็นกำแล้วก็ต้องขายแล้วไปซื้อตัวใหม่ที่อาจจะมีโอกาสในการโตเร็วกว่า แต่ผมเองมองว่าการลงทุนในหุ้นนั้นมีแนวเดียวคือ “มองระยะยาว” พยายามหาหุ้นที่จะถือได้ยาวที่สุด ยิ่งยาวยิ่งดี และอย่างน้อยต้องถือได้ไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีขึ้นไป ผมคิดว่าการทำแบบนั้นคือการลดความเสี่ยงแทนที่จะเป็นความเสี่ยงอย่างที่คนส่วนใหญ่คิด ผมเชื่อว่าความเข้มแข็งและผลประกอบการของบริษัทบวกกับความถูกแพงของราคาหุ้นคือสิ่งที่จะกำหนดผลตอบแทนในระยะยาว ดังนั้น ผมมองหาสามสิ่งนี้ในหุ้นทุกตัวและผมคิดว่าผมพอจะบอกและคาดการณ์ได้
เรื่องที่สองก็คือ คนส่วนใหญ่นั้นลงทุนในหุ้นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งหรือ “ทรัพย์สินสุทธิ” ของตนเอง “คนรวย” นั้นทรัพย์สินส่วนใหญ่อาจจะอยู่ที่ธุรกิจ บางคนก็มีที่ดินมรดกที่ตกทอดมานาน คนชั้นกลางจำนวนมากก็อาจจะมีบ้านที่พักอาศัยบวกกับเงินฝากธนาคารหรือตราสารหนี้ ในความรู้สึกของผม คนส่วนใหญ่ที่มีหุ้นหรือเล่นหุ้นอาจจะมีหุ้นไม่เกิน 10% ของความมั่งคั่งโดยรวม แต่สำหรับผมแล้ว ผมมีหุ้นมากกว่า 90% เกือบตลอดเวลา การมีเงินสดและทรัพย์สินอื่นมากกว่านั้นก็มักจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อรอโอกาสซื้อหุ้นเท่านั้น ผมไม่กลัวความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นมากนัก เพราะผมมักจะถือเฉพาะหุ้นที่ “มีความเสี่ยงต่ำ” เช่น เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งและโดดเด่นมากและ/หรือเป็นหุ้นที่มีราคาถูกหรือถูกมาก ว่าที่จริงผมเองรู้สึกว่าหุ้นของผมนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าทรัพย์สินอย่างอื่น ๆ อีกมาก ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นหรือประโยชน์ในการถือทรัพย์สินอื่นมากนัก
เรื่องที่สามคือ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ชอบซื้อขาย “หุ้นใหม่ ๆ” รวมถึงหุ้นที่เพิ่งเข้าตลาดผ่านการทำ IPO มาไม่นาน ผมเองกลับชอบหุ้นเก่าที่มีประวัติการดำเนินการมายาวนาน ผมคิดว่าหุ้นเก่านั้นเราสามารถประเมินหรือวิเคราะห์ได้ง่ายกว่าหุ้นใหม่มาก เพราะเราเห็นข้อมูลมายาวนานโดยเฉพาะในด้านของธุรกิจ เรารู้จักวัฒนธรรมและการบริหารงานรวมทั้งตัวผู้บริหารสูงสุด เรารู้ว่าบริษัทและผู้บริหารนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนมีโอกาสที่เราจะ “ถูกโกง” ได้แค่ไหน จริงอยู่ การเป็นบริษัทเก่าและธุรกิจเก่านั้นอาจจะ “ไม่น่าตื่นเต้น” ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นลงช้าเมื่อเทียบกับบริษัทรุ่นใหม่ ๆ ที่ “เห็นหน้าเห็นหลัง” ถ้าเราลงทุนหรือเล่นได้ถูกต้อง แต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบอะไรที่ “ไปช้า ๆ แต่ชัวร์” ซึ่งน้อยคนในตลาดหุ้นที่จะชอบ
เรื่องที่สี่คือคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นนั้นชอบหุ้นที่ “โตเร็ว” และ “มีสตอรี่” ที่น่าตื่นเต้น พวกเขาไม่สนใจเรื่องความถูกความแพงมากนัก เขาคิดว่าถ้ารายได้เพิ่มและกำไรเพิ่มเดี๋ยวหุ้นก็วิ่ง ยิ่งกำไรเพิ่มมากราคาก็วิ่ง ต่อให้ PE เป็น 50 หรือ 100 เท่าหุ้นก็วิ่งขึ้นไปอยู่ดีถ้ากำไรงวดหน้าโตซัก 30% ขึ้นไป แต่ผมเองนั้นกลับหลีกเลี่ยง “หุ้นที่ร้อนแรง” ทุกตัว ผมจะซื้อเฉพาะหุ้นที่ “เย็น” หุ้นที่ราคานิ่งหรือปรับตัวขึ้นช้า ๆ และไม่มีสตอรี่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษแต่เป็นสตอรี่ของการเติบโตช้า ๆ ที่เป็นมานานและก็ยังดำรงอยู่ต่อไปอาจจะอีกนาน บริษัทไม่มีอะไร “ใหม่ ๆ” ที่ร้อนแรงตลอดเวลา เหตุผลก็เพราะว่าในความเห็นของผมแล้ว หุ้นในตลาดไทยโดยเฉพาะในปัจจุบันนั้น แทบจะไม่มีหุ้นที่ “โตเร็วในระยะยาว” อยู่จริง ๆ หรือถ้ามีก็มีราคาค่อนข้างสูงมีค่า PE ถึง 30 เท่าขึ้นไปอยู่แล้ว
เรื่องสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ ปันผลตอบแทนที่จะได้รับจากหุ้น นี่คือสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดไม่ค่อยสนใจ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเงิน “เล็กน้อย” รับไปแล้วราคาหุ้นตกลงมาวันเดียวปันผลก็หายหมดแล้ว พวกเขาเน้นแต่ Capital Gain หรือกำไรจากการขายหุ้น แต่สำหรับคนที่ลงทุนระยะยาวแล้ว ปันผลโดยเฉลี่ยนั้นเท่ากับผลตอบแทนเกือบครึ่งหนึ่งของการลงทุนทั้งหมด ดังนั้น ผมเองจึงสนใจปันผลมาก และเนื่องจากผมนำปันผลกลับไปซื้อหุ้นต่อ จำนวนหุ้นก็มากขึ้นทุกปีซึ่งก็มักจะส่งผลให้มูลค่าพอร์ตหุ้นโตขึ้นไม่ต่างอะไรกับการที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงบางส่วนของความคิดที่แตกต่างของผมกับความคิดหรือความเชื่อของคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น แน่นอนว่าไม่ใช่แตกต่างแล้วต้องสำเร็จ แต่ต้องเป็นความแตกต่างที่ถูกต้อง การตามกระแสหรือเชื่อตามคนส่วนใหญ่หรือสังคมในการใช้ชีวิตและเรื่องอื่น ๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จอย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง ว่าที่จริง ถ้าเราต้องการประสบความสำเร็จแบบกลาง ๆ หรือเป็นคนที่ “อยู่ในอยู่ค่าเฉลี่ย” เกาะกลุ่มอยู่ตรงกลาง ๆ นั่นก็คือหนทางที่เราควรจะทำ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จสูงโดยเฉพาะในด้านของการลงทุนแล้วละก็ การ “ขวางโลกหรือ “สวนกระแส” หรือ “คิดแบบอิสระ” น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า