โค้ด: เลือกทั้งหมด
การคิดอะไรเป็น “คู่” นั้น ดูเหมือนว่าจะมีอยู่ในศาสตร์ที่หลากหลายมาก ผมคิดว่าการ “จับคู่” นั้นน่าจะทำให้เราสามารถอธิบายและเข้าใจโลกและความคิดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น กลางวัน-กลางคืน หยิน-หยาง สูง-ต่ำ ตะวันออก-ตะวันตก และอีกมากมาย สำหรับในตลาดหุ้นนั้น การจับคู่เพื่อเปรียบเทียบผมคิดว่ามีประโยชน์มากต่อการทำความเข้าใจในเรื่องของการลงทุน ในหนังสือคลาสสิกของ เบน เกรแฮม เกี่ยวกับการวิเคราะห์หลักทรัพย์นั้น เขามักวิเคราะห์โดยอาศัยการ “จับคู่” เปรียบเทียบหลักทรัพย์ 2 ตัวเพื่อที่จะบอกว่าตัวไหนจะดีกว่ากันและ/หรือถูกกว่ากัน วิธีแบบนี้ทำให้เราเข้าใจเรื่องของการวิเคราะห์ได้ดีขึ้น ผมเองก็มักจะใช้วิธีนี้ในการหาหุ้นที่เหมาะสมจะลงทุน ตัวอย่างเช่น ผมจะเปรียบเทียบระหว่างหุ้นตัวหนึ่งกับหุ้นอีกตัวหนึ่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ดูว่าใครเด่นกว่ากันในแง่ของโมเดลธุรกิจและการเติบโตและหุ้นตัวไหนถูกกว่าในแง่ของราคา นอกจากนั้น บ่อยครั้งผมยังจับคู่ข้ามธุรกิจด้วย และคำถามที่ผมจะเปรียบเทียบบางทีก็เป็นประเด็นว่า ถ้าให้เลือกหุ้นสองตัวที่อาจจะยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่ ผมจะเลือกตัวไหน?
ในภาพใหญ่ของตลาดหุ้นเองนั้น ผมเพิ่งสังเกตและพบว่ามันก็มีเรื่องของการ “แยกออกเป็นสองด้าน” และทำให้มันมีลักษณะที่ผมเรียกว่า “ตลาดคู่” ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจภาพของการลงทุนได้ดีขึ้น เราจะได้ไม่ต้องสงสัยว่า “ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น?” เวลาที่เราคิดถึงเรื่องบางอย่างแล้วเราไม่เข้าใจ
เรื่องของตลาดคู่ที่ผมกำลังจะพูดถึงก็คือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาจจะซัก 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราดูเหมือนจะมีการแบ่งกันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างหุ้นที่เล่นหรือลงทุนโดย “นักลงทุน” กับหุ้นที่เล่นกันโดย “นักเก็งกำไร” เป็นหลัก โดยที่หุ้นที่เล่นหรือซื้อขายกันโดยกลุ่มคนที่เน้นการลงทุน “ระยะยาว” ที่อิงอยู่กับพื้นฐานของกิจการและราคาหุ้นที่เหมาะสมก็จะมีลักษณะแบบหนึ่ง และหุ้นที่เล่นโดยกลุ่มคนที่เน้นการลงทุน “ระยะสั้น” ที่อิงอยู่กับ “การเติบโตในระยะสั้น” และสภาวะของอุตสาหกรรมและกลยุทธ์หรือสตอรี่ที่น่าตื่นเต้นของบริษัทเป็นหลักก็จะมีลักษณะอีกแบบหนึ่ง และนี่ก็ทำให้พฤติกรรมของ “หุ้นลงทุน” กับ “หุ้นเก็งกำไร” มีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน และมันทำให้ความคิดและทฤษฎีหลายอย่างเกี่ยวกับหุ้นใช้การไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ทฤษฎีที่ว่าเมื่อดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น ราคาหุ้นส่วนใหญ่ก็จะขึ้นตามนั้น อาจจะไม่เป็นจริงมากนัก เพราะว่าตลาดของหุ้นเก็งกำไรกับตลาดของหุ้นลงทุนนั้นเป็นคนละตลาดแม้ว่ามันจะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเหมือนกัน และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนักเล่นหุ้นส่วนบุคคลบางคนบ่นว่าหุ้นของตนไม่ขึ้นเลยทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดวิ่งเอา ๆ ในช่วงเร็ว ๆ นี้
พฤติกรรมของ “หุ้นลงทุน” นั้น ข้อแรกก็คือ ราคาจะไม่หวือหวาหรือผันผวนรุนแรง โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นไปหรือลดลงในวันเดียวหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์จะมีน้อย ปริมาณการซื้อขายหุ้นวันต่อวันก็เปลี่ยนแปลงน้อย เหตุผลคงเป็นเพราะคนที่เข้ามาซื้อขายนั้นเน้นการวิเคราะห์พื้นฐานของกิจการเป็นหลัก และเนื่องจากพื้นฐานของกิจการโดยทั่วไปก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ดังนั้นราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นจึงเปลี่ยนแปลงช้า ๆ ตามกันไป นอกจากนั้น หุ้นลงทุนเองก็มักจะมีการกระจายการถือหุ้นในจำนวนมากหรือเรียกว่ามี Free Float สูงและคนที่ลงทุนก็มักจะมีการกระจายไปในระดับที่มีนัยสำคัญพอ ๆ กันไม่มีใครถือหุ้นมากกว่าใครมากนัก ตัวอย่างเช่นกองทุนหรือสถาบันในประเทศหรือนักลงทุนจากต่างประเทศ ดังนั้น ราคาที่จะปรับตัวขึ้นไปสูงหรือต่ำมากก็มักจะถูกเทขายหรือช้อนซื้อจากกลุ่มนักลงทุนที่วิเคราะห์พื้นฐานของบริษัทอย่างใกล้ชิด พูดสรุปอย่างง่าย ๆ ก็คือ ถ้าหุ้นดี มันก็ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นไปช้า ๆ อย่างมั่นคง ถ้าหุ้นแย่มันก็ค่อย ๆ ปรับตัวลงมา โดยที่ปริมาณการซื้อขายก็อยู่ในระดับสม่ำเสมอไม่เกิน 0.1-0.2% ของ Market Cap. ของบริษัทต่อวัน
หุ้นตัวใหญ่ ๆ หรือที่เป็นหุ้นบลูชิพนั้น ส่วนมากก็มักจะเป็นหุ้นลงทุน อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวใหญ่บางตัวที่มีบุคคลธรรมดาหรือบริษัทส่วนบุคคลถือหุ้นใหญ่และมี Free Float ไม่มาก เช่นไม่เกิน 20-30% ก็มีโอกาสเป็นหุ้นเก็งกำไรได้เช่นกัน แต่นั่นก็มักจะเป็นหุ้นที่มี Market Cap. ใหญ่แต่รายได้และกำไรไม่สูงมาก หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นบริษัทที่มีค่า PE สูงมาก อาจจะเป็น 40-50 เท่าขึ้นไปเช่นเดียวกับค่า PB ที่สูงเป็น 10 เท่าขึ้นไปและมีปันผลจ่ายไม่เกิน 1-2% เป็นต้น
หุ้นลงทุนนั้น มักจะมีราคาที่ “สมเหตุผล” เมื่อเทียบกับพื้นฐานนั่นคือความแข็งแกร่งและอัตราการเจริญเติบโตของบริษัทที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน ค่าความถูกความแพงเช่น PE นั้น น้อยมากที่จะสูงลิ่วเป็น 40-50 เท่าขึ้นไปยกเว้นว่าบริษัทจะโดดเด่นและแข็งแกร่งเป็น Dominant Company ในอุตสาหกรรมจริง ๆ ส่วนใหญ่แล้วหุ้นลงทุนก็มักจะมีค่า PE เกาะอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของตลาดและบวกลบตามคุณภาพและการเติบโตของบริษัทซึ่งในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็มักจะอยู่ที่บวกลบไม่เกิน 10 เท่าจากค่า PE เฉลี่ยของตลาดปัจจุบัน นั่นก็คือ PE ของหุ้นลงทุนจะอยู่ระหว่าง 10-30 เท่า
ตลาดของหุ้นเก็งกำไรนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นหุ้นตัวเล็กถึงกลางที่มี Free Float ต่ำหรือเป็นหุ้นที่มีผู้ถือหุ้น “รายใหญ่” ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ถือหุ้นรายเล็กอื่น ๆ มาก ถ้าจะพูดก็อาจจะเรียกว่าเป็นหุ้นที่ ถูก “Corner” หรือ “ต้อนเข้ามุม” ในระดับหนึ่ง พูดในภาษานักเก็งกำไรรายย่อยก็คือ เป็นหุ้นที่มี “เจ้ามือ” ที่คอย “ดูแลหุ้น” หุ้นเก็งกำไรนั้น ในบางช่วงบางตอนที่เหมาะสม เช่น ดัชนีตลาดหุ้นกำลังวิ่งหรือเรื่องราวและผลประกอบการของบริษัทกำลังจะออกมาดี ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นก็จะวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนค่า PE สูงมาก บ่อยครั้งเกิน 50 เท่าหรืออาจจะสูงถึง 100 เท่าและราคาหุ้นก็มักจะยังดำรงอยู่ได้เป็นระยะเวลานานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ
ปริมาณซื้อขายของหุ้นเก็งกำไรมักจะอยู่ในระดับสูงมาก บางตัวมีการซื้อขายมากกว่า 0.5-1% ของ Market Cap. ต่อวันเป็นประจำ โดยที่ราคาหุ้นก็มักจะมีความผันผวนสูงมาก ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวขึ้นหรือลง 2-3% ขึ้นไปต่อวันเป็นเรื่องปกติทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีข่าวอะไรใหม่น่าสนใจ ในบางช่วงที่มีคนเสนอขายน้อย หุ้นก็อาจจะถูก “ลากขึ้นไป” ถึง 10% ราวกับว่ามี “เจ้ามือ” คอยจ้องทำราคาให้สูงเข้าไว้เพื่อที่ว่าเขาจะได้ทยอยขายออกได้ในราคาที่สูงในภายหลัง พูดโดยสรุปอย่างง่ายก็คือ ราคาของหุ้นเก็งกำไรนั้นมักจะปรับตัวขึ้นลงอย่างไม่สม่ำเสมอ การซื้อขายหุ้นในกระดานดูเหมือนว่ามีผู้ถือหุ้นรายที่ใหญ่กว่าปกติเข้ามาซื้อหรือขายทำราคาและทำกำไรตลอดเวลาโดยที่ไม่ได้อิงกับพื้นฐานหรือผลประกอบการ แต่ดูที่ปริมาณความสนใจของนักเล่นหุ้นรายย่อยที่เข้ามาเก็งกำไรมากกว่า
ในช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าตลาดของหุ้นเก็งกำไรจะ “เหงา” ลงไปบ้างเนื่องจากผลประกอบการของบริษัทเหล่านั้นไม่น่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม นักเก็งกำไรก็ยังไม่ได้ “ถอดใจ” ราคาหุ้นเก็งกำไรก็อาจจะปรับตัวลงบ้างแต่ก็ยังสูงลิ่วอยู่ บางทีพวกเขากำลังรอ “รอบใหม่” หรือไม่ก็กำลังประคองราคาหุ้นเพื่อขายหุ้นทิ้ง ตรงกันข้าม หุ้นลงทุนกำลังทำผลงานได้ดี ราคาทยอยปรับขึ้นแม้ว่าค่า PE จะไม่ต่ำแต่ก็ยังไม่สูงเกินไป ในความคิดของผม ตลาดหุ้นเก็งกำไรให้ผลตอบแทนที่สูงมากมาหลายปีแล้ว โอกาสเป็นไปได้ว่ามันใกล้ “จบรอบ” การเข้าไปเล่นในตลาดนี้น่าจะมีผลตอบแทนคาดหวังต่ำและความเสี่ยงสูงมาก ส่วนตลาดของหุ้นลงทุนเองนั้น ผมคิดว่าก็คาดหวังผลตอบแทนมากไม่ได้เพราะมันก็ขึ้นมาพอสมควรเช่นกัน ดังนั้น ถ้าจะให้ปลอดภัย จะต้องเลือกหุ้นลงทุนที่ Defensive นั่นคือทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายได้และราคาหุ้นถูก ถ้าจะให้ดี PE อย่าเกิน 20 เท่า ถ้าได้ 10 เท่าก็ยิ่งดี