โค้ด: เลือกทั้งหมด
ปีเตอร์ ลินช์ นักลงทุนเอกของโลกคนหนึ่งนั้นเคยเขียนหนังสือเบสต์เซลเลอร์ “One Up On Wall street” บอกว่าเวลาจะลงทุนในหุ้นเราจะต้องวิเคราะห์ดูว่าหุ้นตัวนั้นควรจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหนใน 6 กลุ่มนั่นก็คือ หุ้นโตช้า หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นโตเร็ว หุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นตัว และหุ้นมีทรัพย์สินมาก ถ้าเราจัดกลุ่มถูกต้องแล้ว กลยุทธ์ในการเข้าลงทุนหรือขายหุ้นก็จะง่าย อย่างไรก็ตาม ในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้น ผมคิดว่าเรายังมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มใหญ่มาก บางทีอาจจะเป็นร้อยตัวที่ไม่สามารถจัดอยู่ใน 6 กลุ่มได้ตรง ๆ และไม่ควรจัดเนื่องจากเราจะไม่สามารถใช้กลยุทธ์การซื้อขายตามที่ปีเตอร์ลินช์แนะนำ หุ้นกลุ่มที่ว่านั้นก็คือหุ้นที่ผมจะเรียกว่า “หุ้นปั่น”
จริง ๆ แล้วหุ้นปั่นนั้นก็คือหุ้นที่สามารถจัดเข้าเป็น 1 ใน 6 กลุ่มที่ปีเตอร์ลินช์กล่าวถึง เพียงแต่ว่ามีคนไป Manipulate หรือจัดการด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ทำให้ราคาของหุ้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นตาม “พื้นฐานทางเศรษฐกิจ” ของบริษัททั้งทางต่ำหรือสูง อย่างไรก็ตาม มีน้อยมากที่หุ้นจะถูกจัดการให้มีราคาต่ำ ร้อยละ 99 หุ้นถูก “ปั่น” ให้ขึ้นไปสูงลิ่วซึ่งจะทำให้คนทำรวยมหาศาลอย่างรวดเร็วโดยการขายทิ้งในราคาหุ้นที่สูงขึ้นมากเป็น “ฟองสบู่” “ชั่วคราว” ในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 2-3 ปี ดังนั้น ถ้าจะพูดให้เข้าใจชัดเจนจริง ๆ ก็คือหุ้นปั่นตัวนั้นอยู่ในกลุ่มหุ้นโตช้า หรือเป็นหุ้นโตเร็วที่ถูกปั่น หุ้นฟื้นตัวที่ถูกปั่น เป็นต้น
หุ้นปั่นหรือหุ้นที่ถูกปั่นนั้น มักจะถูกเลือกขึ้นมาด้วยปัจจัยหรือเหตุบางอย่างที่คนปั่นดูแล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตลาด และต่อไปนี้คือความเห็นหรือมุมมองของผมที่สังเกตสภาพแวดล้อมของตลาดและ “หุ้นปั่น” แต่ละตัวมายาวนาน
ประเด็นแรกก็คือ หุ้นปั่นมักจะมีมากในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมเป็นกระทิงมายาวนานโดยที่มีช่วงที่ปรับตัวลงแรงน้อยมาก และนี่ก็คือภาวะของตลาดหุ้นไทยในช่วงไม่ต่ำกว่า 4-5 ปีมานี้ เพราะในสภาวะแบบนี้ คนอยาก “เก็งกำไร” อยากที่จะได้ผลตอบแทนเร็วมากในระยะเวลาอันสั้น ในขณะที่คน “ไม่กลัวความเสี่ยง” พวกเขารู้ว่าบางทีตลาดก็ปรับตัวลงแต่ก็มักจะไม่มากและไม่ต่อเนื่อง รอสักพักเดี๋ยวก็ “เด้ง” กลับขึ้นมา เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เวลากำไรพวกเขาเห็นว่ามักจะได้หลาย ๆ เท่าหรือเป็นสิบเป็นร้อยเท่าอย่างในกรณีของบิทคอย แต่เวลาขาดทุน อย่างมากก็ขาดทุนแค่ “เท่าเดียว” คือการลงทุนเหลือ 0 บาท อย่างไรก็ตาม เขาก็แทบไม่เคยเจอ
ประการที่สอง หุ้นปั่นนั้นจะต้องมี “สตอรี่” หรือเรื่องราวที่บริษัทจะทำที่น่าสนใจและมีศักยภาพที่สูงมาก การเติบโตของกำไรจะต้องสูงลิ่วและโตต่อไปได้เรื่อย ๆ อีกนานจนกลายเป็นบริษัทที่ “ยิ่งใหญ่” หรือดีกว่าเดิมมากในกรณีที่บริษัทยังย่ำแย่มีปัญหาต้องแก้ไขหรือเอาตัวรอดในกรณีที่เป็นหุ้น “กำลังฟื้นตัว” เป็นต้น สตอรี่เหล่านั้นจะต้อง “จับต้องได้” และมีแผนงานรองรับ และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ กำลังลงมือทำและเริ่มเห็น “ความก้าวหน้า” ที่ชี้ให้เห็นว่าในที่สุดบริษัทก็จะประสบความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ มองในแง่นี้แล้วก็ต้องยอมรับว่าหุ้นปั่นนั้น จะต้องมีเจ้าของหรือผู้บริหารที่กระตือรือร้นและมีความคิดสร้างสรรค์พร้อมที่จะขับเคลื่อนกิจการให้ก้าวไปข้างหน้าและจะต้อง “เล่นด้วย” กับคนปั่น
ประการที่สาม หุ้นปั่นนั้นจะต้องมีระบบหรือมีความ “พยายามร่วม” ที่จะ “ประชาสัมพันธ์” หรือ “เชียร์หุ้น” โดยฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีผลประโยชน์ร่วมกัน
ข้อสี่ หุ้นปั่นนั้นจะต้องมีหุ้นที่ Float หรือหมุนเวียนในตลาดน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายของคนที่เข้ามาเล่นหรือลงทุน ก่อนที่หุ้นจะขึ้นนั้น มูลค่าหุ้นหมุนเวียนอาจจะมีเพียงไม่เกิน 4-5 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ในวิสัยที่นักลงทุนรายใหญ่เพียงแค่ไม่กี่รายก็สามารถ Corner หรือกวาดซื้อหุ้นจนเกือบหมดได้ ซึ่งการที่เหลือหุ้นน้อยมากนั้น จะทำให้การไล่ราคาให้ขึ้นไปสูงลิ่วทำได้ง่ายมาก
ข้อห้า หุ้นปั่นนั้นจะต้องมี “เจ้ามือ” ที่ถือหุ้นจำนวนมาก บางทีอาจจะถึง 5-10% ของทั้งบริษัท หรืออาจจะมีหลายรายที่ถือหุ้นรวมกันมากยิ่งกว่านั้น และถ้าหุ้นที่ถูกปั่นนั้นมี Free Float แค่ 25-30% ก็เท่ากับว่าหุ้นตัวนั้นถูก “Corner” โดยปริยาย ราคาหุ้นหลังจากนั้นก็แทบจะ “ถูกควบคุม” ได้โดยเจ้ามือ
ข้อหก หุ้นปั่นนั้น คนที่เข้าไปเล่นมักจะใช้มาร์จินในการซื้อขายหลักทรัพย์สูง พวกเขาต้องใช้เงินมากหรือต้องการ “เพิ่มพลัง” ในการปั่นและหวังที่จะได้กำไรเป็นทวีคูณในระยะเวลาอันสั้น เหนือสิ่งอื่นใด อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ก็ต่ำมาก นอกจากนั้น เวลาที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปสูง อัตรามาร์จินก็จะลดลงเองโดยอัตโนมัติ ดังนั้น พวกเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นความเสี่ยงที่จะถูก Force Sale หรือบังคับขายในยามที่หุ้นตกลงมา
น่าจะยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ผมไม่สามารถพูดได้หมด แต่สิ่งที่ผมเห็นในหุ้นปั่น “รอบนี้” หรือช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็คือ หุ้นที่ถูกนำมาปั่นส่วนใหญ่เป็น “หุ้นโตเร็ว” ในขณะที่หุ้นวัฏจักรและหุ้นฟื้นตัวที่เคยถูกนำมาปั่นก่อนหน้านี้ “เน่า” หรือถูกเลิกปั่นกันไปแทบจะหมดแล้ว
หุ้นปั่นที่มีราคาแพงผิดธรรมชาติมากนั้น ในที่สุดก็หนีไม่พ้น “กฎเหล็ก” ของการลงทุนที่ว่าในที่สุดหรือในระยะยาว “ราคาหุ้นจะต้องสอดคล้องกับพื้นฐานของกิจการเสมอ” และถ้าเรากำหนดว่าหุ้นที่จะเข้าข่ายเป็นหุ้นปั่นนั้นจะต้องมีราคาเกินพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 50% ก็หมายความว่าในตอนท้ายหรือตอน “จบเกม” ของการปั่น ราคาหุ้นก็น่าจะต้องตกลงมาอย่างน้อยประมาณ 30% แน่นอน หุ้นปั่นจำนวนมากมีราคาปรับขึ้นไปสูงกว่า 50% มาก หลายตัวขึ้นไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มี ดังนั้น ช่วงที่หุ้นปรับตัวลง ราคาก็อาจจะตกลงมาเกิน 50% ได้ง่าย ๆ
คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ “หุ้นปั่น” รอบนี้ที่ผมคิดว่ามีเป็นร้อยตัว ถึงเวลาจบหรือยัง? คำตอบของผมก็คือ ถ้าไม่จบก็น่าจะใกล้มากแล้ว เหตุการณ์ที่ตลาดของหุ้นขนาดใหญ่มีการปรับตัวแรงเป็นบางวันตามตลาดหุ้นนิวยอร์คที่ปรับตัวลงแรงเนื่องจากสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงเดือนนี้ได้กระตุ้นให้นักลงทุนตระหนักว่าตลาดกระทิงอาจจะถึงเวลาหยุดลง จริงอยู่ดัชนีหุ้นไทยก็ยังดูดีอยู่ แต่นั่นก็เป็นเพราะหุ้นใหญ่โดยเฉพาะหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าดูหุ้นขนาดกลางและเล็กที่เล่นโดยนักลงทุนส่วนบุคคลก็จะพบว่าราคาของหุ้นตกลงไปพอสมควรและเป็นการตกลงมาต่อเนื่องน่าจะหลายเดือนแล้ว ยิ่งกว่านั้น ผลประกอบการของหุ้นจำนวนไม่น้อยที่มีราคาปรับตัวขึ้นไปมากจนเข้าข่ายเป็น “หุ้นปั่น” ก็มีผลประกอบการที่ย่ำแย่ “ต่อเนื่อง” ซึ่งน่าจะทำให้ความมั่นใจต่อ “สตอรี่” ของบริษัทลดลงไปมาก
ประเด็นสำคัญที่จะทำให้หุ้นปั่นจบจริง ๆ นั้น ผมคิดว่าอยู่ที่ “เจ้ามือ” เลิกเล่น หรือ “Corner แตก” อาจจะเนื่องจากมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เทขายหุ้น มีการ Force Sale ที่ทำให้หุ้นตกมาก และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ นักเก็งกำไรรายย่อย “เลิกเล่น” เพราะไม่สามารถทำเงินได้และ “หมดหวัง” กับสตอรี่ของบริษัท บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่า “ไปเล่นหุ้นปตท. ดีกว่า” ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ นี่น่าจะเป็น “อวสานของหุ้นปั่น”