ผมจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ว่าสหรัฐจะตอบโต้จีนเมื่อไหร่ และเท่าไหร่ หรือการข่มขู่ยุโรปเรื่องภาษีรถยนต์ หรือการเจรจาข้อตกลงนาฟต้า ซึ่งกำลังเข้าสู่สภาวะชะงักงัน แต่จะพยายามมองในภาพรวมว่า การตอบโต้กันทางการค้านั้น จะทวีความรุนแรงไปอีกได้นานเพียงใด และน่าจะจบลงอย่างไร ซึ่งเป็นการคาดการณ์ภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงมาก จึงน่าจะมีข้อผิดพลาดได้ แต่ก็จะเป็นแนวทางให้ ท่านผู้อ่านสามารถนำไปคิดวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งและครบถ้วนมากขึ้น เมื่อมีข้อมูลเพิ่มขึ้นในอนาคต ครับ
ผมขอเริ่มที่การวิเคราะห์ของ แบงค์ออฟอเมริกา เมอรริลลินช์ พันธมิตรของภัทร ว่า การกีดกันและตอบโต้กันทางการค้านั้น กำลังอยู่ในช่วงของการ “เร่งตัว” (escalation) กล่าวคือ จะมีแต่ความตึงเครียดและเผชิญหน้าที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่ลดลง เพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อสมมุติฐาน (โดยเฉพาะทรัมพ์) ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องยอมจำนนในที่สุด เพราะตนเองมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ แนวคิดนี้แตกต่างจากเสียงส่วนใหญ่ในตลาดทุน ซึ่งยังพยายามมองโลกในแง่ดีว่า การกีดกันทางการค้านั้น เป็นผลเสียกับทุกฝ่าย ดังนั้น ผู้ที่มีเหตุผล (ซึ่งมองว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องมีเหตุผล) จะไม่ทำสงครามทางการค้าที่ทำลายผลประโยชน์ของส่วนรวม แนวคิดของ แบงค์ออฟอเมริกา นั้น มองว่าทุกคนต่างมีเหตุผลเช่นกัน แต่ (โดยเฉพาะกรณีของสหรัฐ) เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ ทำให้ตนเองได้ประโยชน์มากกว่าในที่สุด หากกัดฟันต่อสู้ต่อไป ดังนั้น จึงอาจทำให้มีการ “แลกหมัด” ปรับขึ้นภาษีศุลกากร ระหว่างกันต่อไปอีกหลายรอบ
การตอบโต้กันของผู้ดำเนินนโยบายจะยุติลงในที่สุด เนื่องจาก
- - ตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะทำให้นักการเมืองทุกฝ่ายต้องยอมรับว่าสงครามทางการค้าไม่มีผู้ชนะแต่ปัจจุบัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐยังไม่ได้ปรับตัวลงเลย(แม้ว่าตลาดหุ้นจีนลดลงไปแล้ว15%) ดังนั้น ทรัมป์ จึงยังจะเร่งการเพิ่มมาตรการกีดกันการค้าต่อไป เพราะมองว่าสหรัฐเป็นฝ่ายชนะ บางคนอาจมองว่า เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มถดถอย ก็จะทำให้นักการเมืองเข้าใจถึงความเสียหายที่แท้จริง แต่ปัญหาคือตัวเลขเศรษฐกิจจะใช้เวลาอีกนานหลายเดือนกว่าจะปรากฏให้เห็นว่า การกีดกันการค้ากำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากรอให้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ตกต่ำก็คงต้องรออีกนาน
- การเลือกตั้งที่สหรัฐในเดือน พ.ย. นี้ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ประชาชนที่เดือดร้อนจากนโยบายกีดกันทางการค้าจะแสดงให้นักการเมืองเข้าใจได้ว่าควรยุติการกีดกันการค้า และหันหน้ามาเจรจากัน ซึ่งในกรณีนี้ ประชาชนต้องลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ให้เสียงข้างมากเปลี่ยนจากพรรครีพับริกันไปเป็นพรรคเดโมแครท เพื่อหวังให้พรรคเดโมแครท ทัดทานและคานการใช้อำนาจของประธานาธิบดี แต่ในขณะนี้ปรากฏว่าประชาชนสหรัฐมีความนิยมประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่มขึ้น (แม้จะยังต่ำกว่า 50%) นอกจากนั้นก็ยังมีความเสี่ยงว่าหากพรรคเดโมแครท ได้เสียงข้างมากหลังการเลือกตั้งก็จะริเริ่มกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี (impeachment) ไม่ได้ถอดถอนมาตรการกีดกันการค้าเพราะ พรรคเดโมแครทโดยรวมจะมีแนวคิดกีดกันการค้ามากกว่า พรรครีพับริกัน