อย่าขาดทุน!!!
- Linzhichange
- User
- กระทู้: 1160
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 10, 2005 9:21 pm
ผมก็ว่าเรื่องสะกดผิดก็ไม่มีสำคัญอะไร แต่คนเราก็ให้ความสำคัญมาก
แม้แต่ฝรั่งก็เหมือนกัน ถ้าเราพูดผิดแกรมม่า สำเนียงแย่ ก็มองเราเป็นไอ้เหลืองแล้ว
เข้าเรื่อง ๆๆๆ การลงทุน VI ที่หวังผลตอบแทนเท่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น คือ
7-10% หรือบางคน 10-15% ดังนั้นการขาดทุนถือเป็นข้อห้ามที
เดียว ยิ่งถ้าขาดทุนเกิน 20% ขึ้นไปด้วย เพราะมันเท่ากับหายไปอย่างน้อย 3 ปีโดยไม่ได้อะไรเลย
แต่ผมเห็นด้วยครับ ลงทุนยังไงก็ต้องมีโอกาสขาดทุน
คนที่พูดประโยคว่าห้ามขาดทุนได้อย่างเต็มปากคงมีแต่บัฟเฟต ที่ประวัติการลงทุนสะอาดเกือบหมดจดจริง ๆ
แม้แต่ฝรั่งก็เหมือนกัน ถ้าเราพูดผิดแกรมม่า สำเนียงแย่ ก็มองเราเป็นไอ้เหลืองแล้ว
เข้าเรื่อง ๆๆๆ การลงทุน VI ที่หวังผลตอบแทนเท่าค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น คือ
7-10% หรือบางคน 10-15% ดังนั้นการขาดทุนถือเป็นข้อห้ามที
เดียว ยิ่งถ้าขาดทุนเกิน 20% ขึ้นไปด้วย เพราะมันเท่ากับหายไปอย่างน้อย 3 ปีโดยไม่ได้อะไรเลย
แต่ผมเห็นด้วยครับ ลงทุนยังไงก็ต้องมีโอกาสขาดทุน
คนที่พูดประโยคว่าห้ามขาดทุนได้อย่างเต็มปากคงมีแต่บัฟเฟต ที่ประวัติการลงทุนสะอาดเกือบหมดจดจริง ๆ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
เท่าที่ผมอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับอาจารย์ทวดมา และทำความเข้าใจเอาเอง...
คำว่า "อย่าขาดทุน" น่าจะหมายถึงกำไร (ที่เราคาดไว้ในอนาคตด้วยวิธีไดก็ตาม) ของกิจการที่เราซื้อมา (จะในหรือนอกตลาดก็แล้วแต่) ต่อเงินลงทุนของเราควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะช้าหรือเร็วก็อีกเรื่อง
พวกเราก็รู้ว่าพฤติกรรมของ Mr. Market คุ้มดีคุ้มร้ายขนาดไหน
ตอนอารมณ์ร้าย บริษัทยอดเยี่ยมก็ขายทิ้งได้ เพราะกลัวอะไรก็ตามที่ไม่ได้กระทบบริษัทเลย หรือกระทบน้อยมาก ฉุดให้ราคาหุ้นดิ่งลง
ตอนอารมณ์ดี ข่าวลือข่าวปล่อยก็สามารถดันราคาหุ้นเกินกว่าผลดีที่จะได้รับถ้าข่าวนั้นเป็นจริงๆซะอีก
แต่ทำไม... เราวัดผลตอบแทนระยะสั้นของเราจากพฤติกรรมเหล่านั้นล่ะครับ
คำว่า "อย่าขาดทุน" น่าจะหมายถึงกำไร (ที่เราคาดไว้ในอนาคตด้วยวิธีไดก็ตาม) ของกิจการที่เราซื้อมา (จะในหรือนอกตลาดก็แล้วแต่) ต่อเงินลงทุนของเราควรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะช้าหรือเร็วก็อีกเรื่อง
พวกเราก็รู้ว่าพฤติกรรมของ Mr. Market คุ้มดีคุ้มร้ายขนาดไหน
ตอนอารมณ์ร้าย บริษัทยอดเยี่ยมก็ขายทิ้งได้ เพราะกลัวอะไรก็ตามที่ไม่ได้กระทบบริษัทเลย หรือกระทบน้อยมาก ฉุดให้ราคาหุ้นดิ่งลง
ตอนอารมณ์ดี ข่าวลือข่าวปล่อยก็สามารถดันราคาหุ้นเกินกว่าผลดีที่จะได้รับถ้าข่าวนั้นเป็นจริงๆซะอีก
แต่ทำไม... เราวัดผลตอบแทนระยะสั้นของเราจากพฤติกรรมเหล่านั้นล่ะครับ
![Rolling Eyes :roll:](./images/smilies/icon_rolleyes.gif)