โค้ด: เลือกทั้งหมด
วิกฤติอเมริกัน ตอนที่ 19 : Innovate or Die
Not New Normal But Old And Once In Our Lifetime Abnormal
วรวรรณ ธาราภูมิ
CEO บลจ.บัวหลวง
7 สิงหาคม 2555
ผ่านไปปีหนึ่งแล้วนับจากที่เขียนเรื่องวิกฤติอเมริกันเป็นซีรีส์ยาวจนถึงตอนที่ 18 แล้วก็เว้นวรรคไปหลายเดือน ไปเขียนเรื่องอื่น เพราะยังไม่เห็นพัฒนาการใหม่ที่จะทำให้เปลี่ยนแนวคิด
การไปเข้าร่วมเสวนาใหญ่ที่แวนคูเวอร์ คานาดา นอกจากจะได้กัลยาณมิตรเพิ่มมา 2 คนแล้ว ยังได้ความรู้มากมาย และความรู้นั้นทำให้เราต่อยอดแนวคิดได้ ไม่ใช่ว่าใครเขาพูดอะไรก็เชื่อตามนั้นกันไปหมด
ก่อนที่จะเล่าให้ฟังว่าได้อะไรมาบ้าง ขอพูดเรื่องชื่อของเสวนากันก่อน
เขาใช้ชื่อว่า “Innovate or Die” ซึ่งเป็นชื่อที่เข้าท่าและทันสมัยมาก เพราะสังคมอเมริกันกำลังกลัวว่าจะ “DIE” ถ้าไม่มี Innovation
ทุกวันนี้ คนอเมริกันจึงพยายามคิดค้น แสวงหา Innovation กันใหญ่
*****************************************************************************
คิดไปคิดมา ก็คิดแปลกแยกได้อีกว่า “มันจะเป็นไง หากเรื่องเศรษฐศาสตร์และการลงทุนที่เราเรียนรู้กันมานั้น มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด”
มันอาจใช้ไม่ได้ในบางช่วง เช่นช่วงที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิตของเรา
การโตของเศรษฐกิจหากหักอัตราเงินเฟ้อออกไป มันอาจเหลือ GDP เพียงเท่ากับเมื่อ 4 พันปีที่แล้วก็ได้
บรรดากูรู้หลายคนในระดับโลกมองเศรษฐกิจสหรัฐต่างกันบ้าง ใกล้เคียงกันบ้าง แต่เราเห็นความต่างระหว่างนักเศรษฐศาสตร์กับนักวิเคราะห์ Wall Street
นักวิเคราะห์ Wall Street จะมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองของผู้ลงทุนในตลาดต่างๆ (พันธบัตร ตราสารหนี้ ทองคำ Currency ฯลฯ) มากกว่าจะไปมอง Fundamental ทางเศรษฐกิจ และมักจะมองช่วงสั้นๆ ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองไปไกลกว่ามาก
เมื่อนักเศรษฐศาสตร์มองว่าจะเกิด Recession นักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจแค่ชะลอลงชั่วคราว
หากรัฐบาลต่างๆ ไม่ระดมเงินจำนวนมหึมาเข้าอัดฉีดเศรษฐกิจให้หนีพ้นไปก่อน (แล้วปล่อยให้ลูกหลานรับกรรมในวันหน้า) นักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่าจะเกิด The Great Depression ส่วนนักวิเคราะห์ยังมองว่าเศรษฐกิจอาจเกิด Recession แค่นั้น
ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่า QE จำเป็นต้องมีชั่วคราวในจำนวนมหาศาลเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ผลักดันเศรษฐกิจ แต่นักวิเคราะห์มองว่า QE จะทำให้หุ้นขึ้น
ที่ว่าข้างต้นนั้น ไม่ได้บอกว่าใครคิดผิดถูก แต่เทียบให้เห็นว่ากรอบมองต่างกัน
จะอย่างไรก็ตาม เราควรเตือนตัวเองไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยว่า “เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่โซนอันตราย และอาจจะเข้าข่ายที่เราจะเห็นเพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิตเรา นั่นคือผิดไปจากวงจรปกติ”
ในขณะที่หลายคนยังคงเชื่อว่ามันเป็นวงจรเศรษฐกิจปกติ ที่มีขึ้นมีลง หวังว่ายุโรปจะแก้ปัญหาตัวเองในที่สุด และหวังว่าเมื่ออเมริกาคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมาได้เหมือนที่เคยเกิดมาแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจโตได้อีกครั้งนั้น มันก็ยังน่าเป็นห่วงว่าการสะดุดหยุดชะงักรอบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องชั่วคราวก็ได้
คนเราใช้อะไรเป็นเครื่องวัดความมั่งคั่ง ?
ลองมองแบบง่ายๆ ตามหลักดั้งเดิมแล้วกัน นั่นก็คือวัดที่ “ผลผลิตที่เราได้รับในช่วงเวลาหนึ่ง”
ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเอามือเปล่าขุดดินภายใน 2 ชั่วโมง หากมือไม่เปื่อย เล็บไม่หลุดเพราะตะกุยดินเสียก่อน เราก็จะขุดได้ลึกไม่มากนัก ได้ดินก็จำนวนจำกัด
ต่อมามีคนคิดค้นจอบขึ้นมา ช่วงแรกๆ เป็นจอบไม้
แน่นอนเลย การขุดดินด้วยจอบไม้ย่อมได้ผลผลิตดีกว่าขุดด้วยมือเปล่าใน 2 ชั่วโมงที่เท่าๆ กัน
หลังจากนั้นเมื่อโลกมีพัฒนาการดีขึ้น มีเหล็กใช้ เราก็มีจอบเหล็ก
ใน 2 ชั่วโมง เราขุดหลุมด้วยจอบเหล็กได้หลายหลุม ได้ดินมากมาย ผลผลิตดีขึ้นมาก เราก็รวยขึ้นๆ ทำให้มาตรฐานการครองชีพเราดีตามไปด้วยการใช้เครื่องไม้เครื่องมือใหม่ๆ
หลายพันปีต่อมา เรามีรถแบ็คโฮ
รถแบ็คโฮคันแรกของโลกช่วยขุดดินแทนคนที่ใช้จอบ และทำได้เร็ว ได้มากกว่าเป็นหลายสิบเท่า ในเวลา 2 ชั่วโมง ผลผลิตจากรถแบคโฮจึงมากกว่าใช้มือ ใช้จอบมากมาย
แม้ว่ารถแบ็คโฮคันแรกของโลกจะยังงุ่มง่ามเพราะใช้พลังงานไอน้ำ แต่ก็ถูกพัฒนาไปเรื่อยๆ ให้ดีขึ้น
วันนี้เรามีรถแบ็คโฮที่ทำงานแทนคนได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด คนขับแบ็คโฮที่เก่งที่สุดในคานาดาเขาสามารถใช้มือตักรถแบคโฮไปตักไข่มาใส่ตะกร้าได้อย่างนุ่มนวล
ตักไข่ไก่นะ ไข่ไก่จริงๆ
****************************************************************
เรามีรถแบ็คโฮมา 100 ปีได้แล้ว แล้วรถก็มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที มีพัฒนาการไปเรื่อยๆ
แต่ผลผลิตและความมั่งคั่งที่ได้จากรถแบ็คโฮในวันนี้มันไม่เท่ากับที่ได้จากรุ่นแรกๆ
เราได้ผลผลิตและความมั่งคั่งมากจากรถแบ็คโฮรุ่นแรกเมื่อเทียบกับการใช้จอบขุดดิน แต่รถแบ็คโฮรุ่นหลังๆ นั้น เราได้แค่ Marginal Gain หรือส่วนเพิ่มของความมั่งคั่งเมื่อเอาผลผลิตและความมั่งคั่งที่ได้จากรถแบคโฮรุ่นใหม่ๆ ไปเทียบกับที่ได้จากรถแบ็คโฮรุ่นแรกๆ
ความต่างจึงไม่มากในเชิงผลผลิต ไม่มากเท่ากับผลผลิตจากรถคันแรกที่เทียบกับการใช้จอบขุดดิน
นอกจากนี้ พลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนมันก็แพงขึ้นด้วย สมัยก่อนน้ำมันลิตรละ 5 บาทกว่า (เติมที่ปั๊มสามทหารเสือปัจจุบันกลายมาเป็น ปตท นั่นแหละ) มันก็แสนคุ้มที่ใช้รถขุด
แต่วันนี้ น้ำมันลิตรละเท่าไหร่ล่ะ
และถ้ามีหลุมให้ขุดไม่มากพอ เมื่อเทียบกับต้นทุนพลังงานและแรงงานแล้ว การใช้จอบขุดก็น่าจะคุ้มกว่า เรียกว่าการใช้พลังงานกับรถแบคโฮรุ่นใหม่ไปขุดดินคงจะถึงจุดสูงสุดเกินกว่าจะคุ้มในการผลิตแล้ว
ดังนั้น เรื่องการเติบโตจึงอาจกลายเป็นอดีต และ 0 X 0 มันอาจจะยังเท่ากับ 0
Innovation ที่ถามหาเพื่อมาช่วยทำให้เศรษฐกิจพลิกฟื้นนั้น จึงต้องคำนึงถึงเรื่อง Abnormal และ Marginal gain นี้ด้วย